นายกฯมาเลย์เผยเตรียมจับมือไทยตั้ง "นครแห่งยางพารา" หวังแก้ปัญหาราคาตกต่ำ

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีนาจิบ อับดุล ราซัคแห่งมาเลเซีย เผยรัฐบาลมาเลเซียและไทยจะศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมกันจัดตั้ง “นครแห่งยางพารา” ขึ้นโดยผู้นำเสือเหลืองระบุ การร่วมกันพัฒนาเมืองศูนย์กลางยางพาราบริเวณพรมแดนระหว่างรัฐเกดะห์ของมาเลเซีย กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จะช่วยให้ราคายางพารามีเสถียรภาพและส่งผลดีต่อทั้ง 2 ประเทศ

นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย วัย 59 ปี ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2009 เผยที่นครวลาดิวอสต็อกเมืองท่าริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของรัสเซีย ระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) โดยระบุว่า มาเลเซียและไทย กำลังมองหาความเป็นไปได้ที่จะร่วมกันพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกยางพารา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพารา บริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดนที่เป็นเขตติดต่อระหว่างรัฐเกดะห์ของมาเลเซีย กับจังหวัดสงขลาและยะลาทางภาคใต้ของไทย โดยผู้นำมาเลเซียแสดงความเชื่อมั่นว่า หากมีการตั้ง “เมืองยางพารา” ขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ก็น่าจะเป็นผลดีต่อทั้งมาเลเซียและไทยและน่าจะช่วยให้ราคายางพารามีเสถียรภาพมากขึ้น

ท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค มีขึ้น หลังจากการพบหารือนอกรอบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกที่รัสเซีย โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเผยว่า เขาได้แต่งตั้งให้ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด วัย 87 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ครองอำนาจยาวนานถึง 22 ปีระหว่างปี 1981 – 2003 ให้เข้ามารับหน้าที่เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อศึกษาการจัดตั้ง “เมืองยางพารา” หรือ “Rubber City” แล้ว

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ทวีปเอเชียเป็นแหล่งปลูกยางพาราที่สำคัญที่สุดของโลก โดยยางพาราที่ปลูกในเอเชียมีสัดส่วนคิดเป็นกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ของยางพาราที่เพาะปลูกทั่วโลก ขณะที่ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ถือเป็นประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกของโลกต่อเนื่องกันมานานนับสิบปี จากการที่ทั้ง 3 ประเทศมีศักยภาพในการผลิตยางพารารวมกันได้สูงถึง 72 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณยางพาราทั้งหมดในตลาดโลก