รอยเตอร์ - กษัตริย์อับดุลเลาะห์แห่งซาอุดีอาระเบียพระราชทานเงินช่วยเหลือจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,570 ล้านบาท) แก่ชาวมุสลิมโรฮิงญาในพม่า ซึ่งถูกทางการกวาดล้างตั้งแต่เกิดเหตุปะทะระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมในรัฐยะไข่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สำนักข่าวของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียรายงานว่า ชุมชนชาวโรฮิงญา “ตกเป็นเหยื่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายประการ ซึ่งรวมถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, สังหาร, ข่มขืน และบังคับให้ออกจากถิ่นที่อยู่ของตน”
“กษัตริย์อับดุลเลาะห์มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินช่วยเหลือจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ชาวมุสลิมโรฮิงญาในพม่า” สื่อซาอุฯ รายงานวันนี้(13) โดยไม่ได้ตำหนิว่าฝ่ายใดกระทำการล่วงละเมิด
องค์การฮิวแมนไรต์วอตช์แถลงเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมว่า ชาวโรฮิงญาจำนวนมากถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของพม่าจับกุม, สังหาร และข่มขืน หลังเกิดการปะทะด้วยอาวุธระหว่างชาวพุทธกับชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่ทางการพม่าก็ยืนยันว่าพยายามใช้ความรุนแรงให้น้อยที่สุดกับชาวโรฮิงญาซึ่งมีประชากรในพม่าอย่างน้อย 800,000 คน และเป็นชนกลุ่มน้อยที่ยังไม่ได้รับสิทธิพลเมือง
ซาอุดีอาระเบียยึดมั่นในพันธกิจการเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ของมุสลิมทั่วโลก เนื่องจากดินแดนซาอุฯ เป็นต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม และเป็นที่ตั้งของศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งในนครเมกกะและมะดีนะห์ ทว่ากรุงริยาดเองก็ถูกวิจารณ์บ่อยครั้งว่าอ่อนแอในเรื่องประชาธิปไตย
สัปดาห์ที่แล้ว คณะรัฐมนตรีซาอุฯ ออกแถลงการณ์ประณามความรุนแรงต่อชาวมุสลิมทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า ขณะที่องค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ซึ่งจัดการประชุมที่เมืองเจตดาห์เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ก็เรียกร้องให้ชาติสมาชิกมอบความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮิงญาด้วย