เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-นิตยสารฟอร์บส์ สิ่งพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินชื่อดังของสหรัฐฯ เผยแพร่ผลสำรวจล่าสุด “World's Worst Economies” หรือรายงานว่าด้วย ประเทศที่มีเศรษฐกิจย่ำแย่เลวร้ายที่สุดของโลกเมื่อวันอังคาร (17) โดยระบุ เยเมน ดินแดนที่เคยมั่งคั่งไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่กลับถูกรุมเร้าด้วยปัญหาความไม่สงบจากชนเผ่าภายในประเทศ ปัญหาการเมือง รวมถึง ภัยคุกคามจากเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์นานต่อเนื่องหลายปี ได้กลายเป็น ดินแดนที่มีเศรษฐกิจแย่ที่สุดของโลกในเวลานี้
รายงานระบุว่า ปัญหาความวุ่นวายและเหตุรุนแรงในเยเมน ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของดินแดนแห่งนี้หายไปกว่า 1 ใน 4 และเมื่อไม่มีรายได้จากการส่งออกน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจของเยเมนจึงเลวร้ายแบบดิ่งเหวจากการที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2011 ที่ผ่านมา อยู่ที่ “ติดลบ 10.5 เปอร์เซ็นต์” ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เยเมน ครองแชมป์ ดินแดนที่มีเศรษฐกิจย่ำแย่ที่สุดของโลก อย่างเป็นทางการอีกตำแหน่ง นอกเหนือไปจากการเป็นเจ้าของตำแหน่งดินแดนที่ยากจนข้นแค้นที่สุดของโลกอาหรับ
ขณะที่ชาติเพื่อนบ้านในตะวันออกกลางอย่างซีเรีย ตามมาเป็นอันดับที่ 2 สาเหตุสำคัญมาจากการคว่ำบาตรของนานาชาติ รวมถึง สงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด กับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ซึ่งทำให้การปฏิรูปทางเศรษฐกิจและความคืบหน้าด้านการลงทุนในซีเรียต้องหยุดชะงักแบบไม่มีกำหนด ฉุดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ร่วงลงมาอยู่ที่-6 เปอร์เซ็นต์ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศพุ่งสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์
ส่วนประเทศที่ถูกระบุว่า มีเศรษฐกิจย่ำแย่เลวร้ายมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลกจากรายงานดังกล่าว ได้แก่ ซูดาน ดินแดนอาหรับทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ที่มีอันต้องสูญเสียกำลังการผลิตน้ำมันไปถึง 3 ใน 4 เมื่อปีที่แล้ว ภายหลังจากที่ “ซูดานใต้” ซึ่งครอบครองพื้นที่ซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมัน ได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกไปตั้งเป็นประเทศใหม่ ฉุดให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของซูดานในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ -10.5 เปอร์เซ็นต์ และอัตราเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับ 18 เปอร์เซ็นต์
ด้านสวาซิแลนด์ ดินแดนที่ไม่มีทางออกทะเลทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ที่อาศัยความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมานานหลายปี ถูกระบุ กลายเป็นดินแดนที่มีเศรษฐกิจเลวร้ายเป็นอันดับที่ 4 ของโลก จากผลพวงของภาวะหนี้สินของยุโรปที่ทำให้ยอดเงินบริจาคและเงินช่วยเหลือที่สวาซิแลนด์เคยได้รับพลอยหดหายไปด้วย จนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา สวนทางกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับ 7 เปอร์เซ็นต์
อันดับที่ 5 ตกเป็นของปากีสถาน ประเทศมุสลิมในเอเชียใต้ ที่ยังคงถูกรุมเร้าจากปัญหาความไม่สงบภายใน การทุจริต การว่างงานสูง และการลงทุนจากต่างประเทศที่หดหาย จนเศรษฐกิจโตได้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา ขณะที่เงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 12 เปอร์เซ็นต์
ส่วนอันดับที่ 6-10 ประเทศที่มีเศรษฐกิจเลวร้ายที่สุดของโลก จากผลสำรวจล่าสุดประกอบไปด้วย จาไมกา หมู่เกาะกลางทะเลแคริบเบียน และอีก 4 ชาติแอฟริกา คือ แกมเบีย มาดากัสการ์ ชาด และมาลาวี
โดยในกรณีของจาไมกานั้น ถือเป็นการติดอันดับแบบเหนือความคาดหมายเนื่องจาก เกาะสวรรค์ด้านการท่องเที่ยวแห่งนี้เคยโกยเงินเข้าประเทศแบบเป็นกอบเป็นกำมานานนับสิบปี จากการเฟื่องฟูของภาคการท่องเที่ยวและการบริการ อีกทั้งยังเคยเป็นชาติผู้ส่งออกแร่บ็อกไซต์รายใหญ่ของโลก แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ รายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออกของจาไมกาจึงลดฮวบ ขณะที่หนี้สาธารณะของประเทศก็พุ่งสูงถึง 120 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี