xs
xsm
sm
md
lg

'ลูกสาวจอมเผด็จการ'ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้

เผยแพร่:   โดย: สตีเวน โบโรเวค

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Dictator's daughter seeks the Blue House
By Steven Borowiec
13/07/2012

ปาร์ก กึน-ฮเย ผู้เพิ่งประกาศตัวลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อต้นสัปดาห์นี้ เป็นคนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชน จึงทำให้เธอมีโอกาสอย่างมากที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งซึ่งจะมีขึ้นเดือนธันวาคมปีนี้ การที่เธอเป็นบุตรสาวของผู้ปกครองประเทศซึ่งได้รับเครดิตว่าเป็นผู้เปลี่ยนแปลงแดนโสมขาวให้ก้าวหลุดออกมาจากการเป็นชาติล้าหลังของเอเชีย ก็น่าจะเรียกเสียงสนับสนุนได้มากขึ้นอีก ถึงแม้มรดกดังกล่าวนี้อาจกลายเป็นปัจจัยด้านลบไปได้เมื่อเข้าสู่ช่วงแห่งการรณรงค์หาเสียงซึ่งจะมีการขุดคุ้ยโจมตีกันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งเกี่ยวกับตัวเธอก็คือ ในสังคมเกาหลีใต้ซึ่งผู้ชายยังได้รับการยกย่องสูงกว่าผู้หญิงอยู่มากนั้น เพศภาวะของเธอกลับไม่ใช่เป็นประเด็นปัญหาอะไรนักหนาเลย

ปาร์ก กึน-ฮเย (Park Geun-hye) นักการเมืองผู้ได้รับความนิยมสูงที่สุดของเกาหลีใต้ ประกาศเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เธอจะเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศในการเลือกตั้งที่มีกำหนดจัดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ ถ้าเธอได้รับชัยชนะ เธอก็จะกลายเป็นประมุขคนแรกที่เป็นสตรีของรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ และหากเธอได้ก้าวไปครอบครองทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ซึ่งเรียกกันว่า “ทำเนียบสีฟ้า” (Blue House) ได้สำเร็จจริงๆ แล้ว ก็คงไม่มีใครหรอกที่มีความมั่นอกมั่นใจว่าเธอจะกลายเป็นผู้นำแบบไหน ถึงแม้มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งได้รับการพิสูจน์ยืนยันให้เห็นกันแล้ว นั่นคือ ความเป็นเพศหญิงของเธอไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนทางการเมืองในแบบฉบับที่ใครๆ อาจคาดหมายว่าจะได้ยินได้พบเห็น

ในคำปราศรัยประกาศตัวลงแข่งขันของเธอ ปาร์ก ได้ให้คำมั่นสัญญาทางการเมืองชนิดที่เน้นความนุ่มนวลละมุนละไม ในลักษณะที่คาดหมายได้ว่าผู้ที่อยู่ในฐานะอย่างเดียวกับเธอก็คงต้องพูดกันเช่นนั้น เธอได้แสดงความขอบคุณบรรดาผู้สนับสนุนซึ่งทำให้เธอเกิดพลังความเข็มแข็งจนสามารถเอาชนะปัญหาท้าทายต่างๆ ในชีวิตได้สำเร็จ “ดิฉันสามารถเอาชนะความยากลำบากต่างๆ ทั้งหมดมาได้ ก็เพราะความสนับสนุนของท่านทั้งหลาย” เธอบอกเช่นนี้กับฝูงชนที่มารอเชียร์รอลุ้น

ปาร์ก กึน-ฮเย เป็นบุตรสาวของ ปาร์ก จองฮี (Park Chung-hee) อดีตจอมเผด็จการทหารของเกาหลีใต้ ผู้ขึ้นปกครองประเทศด้วยการทำรัฐประหาร เธอเข้าทำหน้าที่เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ตั้งแต่อายุได้ 21 ปี เมื่อมารดาของเธอถึงแก่มรณกรรมในเหตุการณ์ลอบสังหารที่มุ่งหมายเอาชีวิตบิดาของเธอ แต่แล้วตัวประธานาธิบดีปาร์กเองก็ถูกเข่นฆ่าถึงแก่อสัญกรรมจนได้ ด้วยฝีมือของลูกน้องคนหนึ่งในอีก 5 ปีต่อมา นั่นคือในปี 1979

การประกาศลงชิงชัยของ ปาร์ก กึน-ฮเย คราวนี้ ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรซ์อะไร ใครๆ ก็เชื่อกันมานานแล้วว่า เธอกำลังวางแผนตระเตรียมที่จะเข้าแข่งขันชิงตำแหน่ง อันที่จริงความมุ่งมาตรปรารถนาที่จะเป็นประธานาธิบดีของเธอ คือหนึ่งในจำนวนอะไรไม่กี่อย่าง ซึ่งใครๆ สามารถหยั่งรู้ได้อย่างมั่นอกมั่นใจเกี่ยวกับตัวเธอ

ในวันที่ 5 กรกฎาคม หรือ 5 วันก่อนการประกาศตัวลงแข่งขันของปาร์ก มีรายงานข่าวอ้างคำพูดของ ลี ซางอิล (Lee Sang-il) โฆษกทีมงานรณรงค์หาเสียงของเธอ ที่กล่าวว่า เธอ “ยังคงอยู่ระหว่างการขบคิดพิจารณาว่าเธอจะใช้ประเด็นอะไรบ้างในการรณรงค์หาเสียง” คำพูดนี้นับว่าสะท้อนให้เห็นสไตล์ของตัวปาร์กได้เป็นอย่างดีทีเดียว นั่นคือ จุดยืนทางด้านนโยบายของเธอเป็นการพัฒนาปรับแต่งไปเรื่อยๆ ในลักษณะที่ตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนในจังหวะเวลาขณะนั้น ถึงแม้ในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเธอ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ปาร์กอาจจะต้องยุตินิสัยเอาแต่นิ่งเงียบเมื่อถูกรุกถามเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสำคัญๆ

“เธอไม่ใช่คนที่พร้อมรับฟังอะไรนักหนาหรอก” คิม อีจอง (Kim Hee-jung) คุณแม่วัย 36 ปีซึ่งเข้าร่วมในเหตุการณ์การประกาศลงแข่งขันของปาร์กเมื่อวันอังคาร (10 ก.ค.) ที่ผ่านมา กล่าวให้ความเห็น “นโยบายต่างๆ ของเธอก็เป็นนามธรรมมากเกินไป และอาจจะไม่ค่อยได้คำนึงถึงการปฏิบัติเท่าไหร่”

แต่ในการปรากฎตัวเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปาร์กได้เอ่ยถึงข้อเสนอในลักษณะเป็นหลักนโยบายแห่งการรณรงค์หาเสียงของเธอคราวนี้ออกมาเหมือนกัน ด้วยการเน้นย้ำถึงเรื่องสำคัญๆ รวม 3 ด้าน ได้แก่ ความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ, การสร้างงาน, และสวัสดิการสังคม ข้อเสนอเหล่านี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้มีสิทธิออกเสียงในเกาหลีใต้ ซึ่งต่างกำลังกังวลห่วงใยในเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน และอัตราการว่างงาน

ประเด็นเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ปาร์กป่าวประกาศรณรงค์เรียกร้องอยู่เป็นประจำหรอก ในความพยายามรณรงค์คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้ของเธอ ซึ่งก็คือในปี 2007 เธอพยายามวาดภาพลักษณ์ตนเองว่าเป็น มาร์กาเรต แธตเชอร์ แห่งเกาหลี เป็นนักต่อสู้ปกป้องผลประโยชน์ของภาคธุรกิจและนักรณรงค์เรียกร้องให้ภาครัฐมีขนาดเล็ก ประเด็นใหม่ๆ ที่เธอเลือกใช้ในคราวนี้คือตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นความโน้มเอียงของเธอที่พร้อมเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชน

ผลโพลหยั่งเสียงที่จัดทำโดย เรียลมีเตอร์ (RealMeter) และทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-6 กรกฎาคม ปรากฏว่า ผู้ออกเสียงที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้ปาร์กมี 41% ติดตามมาด้วยคนที่ตอบว่าจะโหวตให้ อัน ชุลซู (Ahn Chul-soo) เจ้าพ่อกิจการซอฟต์แวร์ ซึ่งมี 20% ขณะที่ มูน เจอิน (Moon Jae-in) ซึ่งน่าจะได้เป็นผู้สมัครของทางฝ่ายค้าน ได้ 15% อัน-เจ้าพ่อซอฟต์แวร์ ยังไม่ได้ประกาศออกมาให้ชัดเจนว่าเขาจะลงแข่งขันในคราวนี้ด้วยหรือไม่ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าทั้ง เขา และ มูน จะต้องไล่กวดกันชนิดหืดจับทีเดียวหากลงชิงชัยกับปาร์ก

แต่ขณะที่ปาร์กได้รับความสนับสนุนในระดับที่นำโด่งเหนือผู้ที่อาจจะลงแข่งขันรายอื่นๆ เช่นนี้ ฐานเสียงของเธอก็มีรูโหว่ใหญ่โตอยู่ไม่ใช่น้อยๆ เลย แรงสนับสนุนของเธอจำนวนมากทีเดียวมาจากผู้ออกเสียงสูงอายุซึ่งยังคงจดจำได้ดีถึงสภาพของเกาหลีใต้เมื่อครั้งเป็นประเทศที่ยากจนแสนสาหัส ประธานาธิบดีปาร์ก จองฮี บิดาของเธอนั่นเองที่ได้รับเครดิตว่าเป็นผู้นำพาประเทศก้าวเข้าสู่กระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี เธอไม่ค่อยได้รับความสนับสนุนเท่าใดนักจากกลุ่มชาวกรุงผู้เจนโลกในอาณาบริเวณมหานครโซล (Greater Seoul) ซึ่งเป็นถิ่นพำนักอาศัยของชาวเกาหลีใต้ร่วมๆ ครึ่งประเทศ

ผู้เข้าร่วมฟังการปราศรัยเปิดตัวลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเธอในกรุงโซลคราวนี้ แทบทั้งหมดเมื่อดูจากหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนเลยวัยเกษียณอายุ สำหรับผู้ออกเสียงวัยชราเหล่านี้ซึ่งพากันตะโกนชื่อของเธออย่างชื่นชมในวันนั้น การที่เธอเป็นบุตรสาวของประธานาธิบดีปาร์กนับว่าเป็นข้อได้เปรียบ เป็นสิ่งบ่งบอกว่าเธอจะมุ่งมั่นทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จเมื่อขึ้นเป็นประมุขของประเทศ เฉกเช่นบิดาของเธอได้เคยกระทำมา อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ออกเสียงจำนวนมากซึ่งไม่สามารถเข้าไปร่วมการรณรงค์หาเสียงคราวนี้ซึ่งจัดขึ้นในเวลา 10.00 น.ของวันทำการปกติ เนื่องจากต้องเข้าทำงานหรือต้องเข้าเรียนหนังสือ สายสัมพันธ์เช่นนี้อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องลบ เป็นสิ่งที่มีอันตราย โดยเป็นสัญญาณแสดงถึงการไม่เคารพระบอบประชาธิปไตย และสไตล์การบริหารปกครองแบบรวบอำนาจไม่ฟังเสียงทักท้วงไม่ยอมรับการตรวจสอบ

ความเป็นไปได้ที่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของประเทศซึ่งยังคงเป็นสังคมยกย่องผู้ชายเป็นอย่างมากเช่นนี้ ดูเหมือนกับจะเป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับผู้ที่เรียกร้องต้องการความเสมอภาคทางเพศ ทว่าเท่าที่ผ่านมา ปาร์กไม่ได้เป็นที่นิยมชมชื่นของสตรีผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ในวัยที่เป็นฐานเสียงของเธอเอาเลย ตัวเธอนั้นไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีลูก ไม่เคยต้องต่อสู้ดิ้นรนในสังคมนับถือผู้ชายเป็นใหญ่ของเกาหลี ในวัฒนธรรมธุรกิจแบบพูดจาตกลงอะไรกันในวงสุราอาหาร พูดสั้นๆ ก็คือ เธอไม่เคยมีประสบการณ์ในสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาอันสำคัญมากสำหรับสตรีชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่

ด้วยบุคลิกภาพที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ปาร์กประสบความสำเร็จไม่น้อยในการใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอ เป็นต้นว่า เธออวดว่าเนื่องจากชีวิตของเธอต้องวุ่นอยู่กับความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติทำให้เธอต้องยอมสละไม่มัวพะวงกับการแต่งงานหรือการมีบุตร ดังนั้นมันจึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเธอมีเจตจำนงที่จะเสียสละตัวเองอย่างลึกซึ้งถึงขนาดไหน

ปาร์กไม่เคยก้าวออกมานอกทางของเธอเพื่อหันมาเน้นย้ำความเป็นผู้หญิงของเธอเลย ตลอดเวลาแห่งอาชีพนักการเมือง เธอวาดภาพลักษณ์ให้ตนเองเป็นนักการเมืองผู้ซึ่งบังเอิญเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เป็นผู้ที่ทำงานต่างๆ ไปตามสัญชาตญาณแห่งความเป็นหญิง นี่อาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เพศภาวะของเธอไม่ค่อยได้กลายเป็นหัวข้อของการอภิปรายถกเถียงอะไรกันนักในเกาหลีใต้

“เธอมีความสามารถในการนำพาประเทศชาติอย่างแน่นอน เนื่องจากเธอเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ มันไม่ใช่เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงหรอก” เจือง ชุนจู (Jeong Chun-joo) หญิงชราวัย 76 ที่เป็นผู้สนับสนุนเธอคนหนึ่งกล่าว “เราพร้อมแล้วที่จะมีประธานาธิบดีผู้หญิง เพราะเราเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วนะ” เธอกล่าวต่อ

ในขณะที่การรณรงค์หาเสียงของปาร์กเปิดม่านเริ่มเดินหน้าแล้ว แต่มันยังคงไม่มีความชัดเจนว่าเธอจะนำพาประเทศที่มีฐานะเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทางทหารใหญ่ที่สุดของเอเชียแห่งนี้ก้าวเดินไปในทิศทางไหน ถ้าหากเธอเป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งเดือนธันวาคมนี้

ประธานาธิบดีคนต่อไปของเกาหลีใต้จะต้องรับมรดกความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีที่อยู่ในสภาพเย็นชาที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ไม่มีใครทราบจริงๆ ว่า ปาร์กจะรับมืออย่างไรกับเกาหลีเหนือ ประเทศซึ่งเธอเคยไปเยือน และเคยพบปะกับ คิม จองอิล ผู้นำโสมแดงในเวลานั้น เธออาจจำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะให้คำตอบอย่างไรต่อคำถามเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและการแลกเปลี่ยนเชิงพาณิชย์กับเกาหลีเหนือ

ตลอดช่วงเวลาแห่งอาชีพนักการเมืองของเธอ การมุ่งเน้นผลในทางปฏิบัติของปาร์กถือเป็นทรัพย์สินยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ เธอสามารถที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของเกาหลีใต้ได้เรื่อยมา ในที่สุดแล้วเธอกำลังใกล้ที่จะก้าวขึ้นสู่เวทีในฐานะผู้ที่ต้องมีบทบาททรงความสำคัญที่สุดแล้ว และเราก็กำลังจะค้นพบว่าเธอยังสามารถที่จะดำรงตนให้อยู่ข้างหน้ากระแสคลื่นท่ามกลางสายตาจับจ้องมองของทั่วทั้งประเทศชาติได้หรือไม่

สตีเวน โบโรเวค เป็นนักเขียนที่พำนักอยู่ในเกาหลีใต้
กำลังโหลดความคิดเห็น