xs
xsm
sm
md
lg

'โกลด์แมนแซคส์'ถูก'ลูกหม้อ'แฉเละทั้งขูดรีดทั้งแอบเรียกลูกค้าว่า'หน้าโง่'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี/เอเจนซี- โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีท ถูกอดีตผู้อำนวยการบริหารคนหนึ่งของตนเองแฉแหลกลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า ได้กลายเป็นกิจการ “ที่มีพิษภัย” ซึ่งตั้งหน้าตั้งตารีดไถลูกค้าทุกทางเท่าที่ทำได้ ซ้ำพวกผู้บริหารระดับสูงยังเรียกลูกค้าว่า “หน้าโง่”

เกร็ก สมิธ เขียนในหน้าบทความของนิวยอร์ก ไทมส์ฉบับวันพุธ (14) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการทำงานที่โกลด์แมนแซคส์ของตนเองว่า วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่แห่งนี้ทิ้งวัฒนธรรมในการช่วยเหลือลูกค้าทำเงินอย่างซื่อสัตย์ มิหนำซ้ำบรรดาผู้บริหารระดับท็อปยังเรียกลูกค้าว่า "เจ้าโง่” ขณะที่พนักงานพูดถึง “การปอกลอกลูกค้า”

“ผมพูดอย่างสัตย์ซื่อได้เลยว่า สภาพแวดล้อมขณะนี้เป็นพิษภัยและอันตรายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา พูดง่ายๆ ก็คือ ผลประโยชน์ของลูกค้ากลายเป็นเรื่องข้างเคียงที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางการดำเนินงานของบริษัทอีกต่อไป และบริษัทคิดแต่เรื่องการทำเงิน”

สมิธยังกล่าวหาลอยด์ แบลงก์เฟน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) และแกรี คอห์น ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (ซีโอโอ) ของโกลด์แมน ว่าปล่อยให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของบริษัทสูญหายไปต่อหน้าต่อตา

“ตลอด 12 เดือนล่าสุด ผมเห็นผู้อำนวยการบริหารจัดการ 5 คนเรียกลูกค้าตัวเองว่า ‘คนโง่’ บางครั้งก็พูดเช่นนี้ในอีเมลภายใน”

สมิธสำทับว่า ตอนที่ร่วมงานกับโกลด์แมน กิจการวาณิชธนกิจใหญ่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุดในวอลล์สตรีท เมื่อ 12 ปีที่แล้ว วัฒนธรรมองค์กรรวมศูนย์อยู่ที่คุณธรรมและ “การทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับลูกค้าเสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้โกลด์แมนยิ่งใหญ่และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาตลอด 143 ปี

“แต่ตอนนี้บริษัทกลับทำทุกทางเท่าที่เป็นไปได้เพื่อรีดไถจากลูกค้า

“วันนี้ถ้าคุณทำเงินได้มากพอ คุณจะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพล”

อดีตผู้อำนวยการบริหารผู้นี้ยังกล่าวว่า ขณะทำงานให้โกลด์แมน เขาให้คำแนะนำลูกค้าจัดการสินทรัพย์มูลค่ากว่าล้านล้านดอลลาร์ ตำแหน่งสุดท้ายของเขาคือผู้อำนวยการบริหารในอังกฤษ และผู้รับผิดชอบธุรกิจตราสารอนุพันธ์ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

ด้านโกลด์แมนปฏิเสธข้อกล่าวหาของสมิธ และยืนยันว่าบริษัทใส่ใจกับลูกค้าเหมือนที่ผ่านมา

“เราไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น ซึ่งเราไม่คิดว่า สะท้อนแนวทางในการดำเนินธุรกิจของเรา ในมุมมองของเรา เราจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อลูกค้าของเราประสบความสำเร็จ ข้อเท็จจริงพื้นฐานนี้คือหัวใจสำคัญของแนวทางปฏิบัติของเรา”

นอกจากนั้น ในจดหมายภายในที่เผยแพร่แก่สื่อ แบลงก์เฟนและคอห์นยังระบุว่า สมิธเป็นเพียง 1 ในลูกจ้างเกือบ 12,000 คนที่มีตำแหน่งระดับรองประธานบริหาร (vice president) หรือผู้อำนวยการบริหาร (executive director) ในบริษัท โดยที่มักมี “คนที่อาจรู้สึกไม่พอใจ” ปรากฏขึ้นมา ภายในบริษัทซึ่งเวลานี้มีพนักงานอยู่ทั้งสิ้นราว 33,000 คน

ทั้งนี้ ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปจาก รองประธานบริหาร หรือผู้อำนวยการบริหาร ในวาณิชธนกิจแห่งนี้ ก็คือระดับ ผู้อำนวยการบริหารจัดการ (managing director) ซึ่งทั่วทั้งบริษัทมีอยู่ราว 450 คน

กระนั้น ความคิดเห็นของสมิธ ก็สะท้อนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีมากขึ้นต่อโกลด์แมน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวาณิชธนกรที่ถูกกล่าวหาว่า ปอกลอกเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ขณะที่ก่อหายนะให้แก่ธุรกิจและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ในปี 2010 โกลด์แมนต้องจ่ายค่ายอมความสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 550 ล้านดอลลาร์ให้แก่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) จากข้อกล่าวหาว่า บริษัทได้ขายตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน ให้แก่พวกนักลงทุน พร้อมกันนั้นก็กลับไปวางเดิมพันในตลาดว่า ตราสารเหล่านั้นจะราคาตก

มาเดือนที่แล้ว ผู้พิพากษาผู้หนึ่งชี้ว่า โกลด์แมนด์หากำไรสองทางจากการเป็นที่ปรึกษาและแนะนำให้เอล พาโซ ผู้ดำเนินการท่อขนส่งก๊าซ ยอมรับข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ที่ผู้ถือหุ้นระบุว่าต่ำเกินไป จากไคน์เดอร์ มอร์แกน บริษัทที่โกลด์แมนถือหุ้นอยู่ 19% และมีกรรมการ 2 คนนั่งในบอร์ด

การออกมาแฉครั้งนี้ทำให้สมิธได้รับทั้งกำลังใจและการโจมตีในสื่อและแวดวงการเงิน บางคนบอกว่า เขากล้าและซื่อสัตย์ แต่บางคนกล่าวหาว่า เขามือถือสากปากถือศีล กระทั่งไร้เดียงสากับโลกของวาณิชธนกิจ

ทว่า พอล โวลเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แสดงความเห็นว่า บทความดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางความคิดในตลาดตลอดช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการที่วาณิชธนกิจหันมามุ่งเน้นการซื้อขายมากกว่าการอันเดอร์ไรต์ข้อตกลงซื้อขายกิจการของลูกค้า และการเปลี่ยนสถานะสู่บริษัทมหาชนของโกลด์แมน และทั้งหมดนี้น่าเป็นห่วงว่าจะนำไปสู่ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น