เอเอฟพี - มัสยิด ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมในศาสนาอิสลาม เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ ทว่ายังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ที่บ่งชี้ว่า หนุ่มสาวมุสลิมในอเมริกากำลังถูกบ่มเพาะแนวคิดหัวรุนแรง รายงานซึ่งเผยแพร่วานนี้ (29) ระบุ
จากการสำรวจมัสยิดในสหรัฐฯ ประจำปี 2011 พบว่า มีมัสยิดอยู่ 2,106 แห่งใน 50 รัฐ รวมถึงเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 74 จากผลสำรวจในปี 2000 ซึ่งเป็นปีก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ปี 2001 โดยขณะนั้นสหรัฐฯมีจำนวนมัสยิด 1,209 แห่งทั่วประเทศ
มหานครนิวยอร์กมีมัสยิดอยู่ถึง 192 แห่ง ขณะที่ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียมีอยู่ 120 แห่ง
รัฐอื่นๆ เช่น เทกซัส มีศาสนสถานของชาวมุสลิมอยู่ถึง 166 แห่ง, รัฐฟลอริดา 118 แห่ง และแม้แต่ในรัฐมอนทานาซึ่งมีประชากรที่มิใช่ชาวคริสต์อยู่ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังมีมัสยิดตั้งอยู่ถึง 2 แห่ง
“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มัสยิดในสหรัฐฯ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วมาก” รายงานจากสมาคม เฟธ คอมมิวนิตีส์ ทูเดย์ ซึ่งทำการศึกษาลัทธิความเชื่อที่หลากหลายระบุ
อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าวยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโบสถ์คริสต์ ซึ่งมีอยู่ราว 322,000 แห่งในสหรัฐฯ ตามการประเมินของสถาบันเพื่อการวิจัยศาสนา ฮาร์ตฟอร์ด
แม้จำนวนมัสยิดจะเพิ่มขึ้น แต่อิหม่ามประจำมัสยิดส่วนใหญ่ร้อยละ 87 บอกกับนักวิจัยภาคสนามว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยที่คนมองว่าหนุ่มสาวมุสลิมกำลังถูกสั่งสอนให้มีแนวคิดรุนแรง
รายงานเผยด้วยว่า สำหรับผู้นำชุมชนเหล่านี้ “ความท้าทายที่แท้จริงไม่ใช่การที่วัยรุ่นมีแนวคิดสุดโต่ง แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาหันมาใกล้ชิดกับมัสยิดมากกว่า”
ปัญหาเยาวชนห่างไกลศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอิสลามเท่านั้น แต่ในสังคมสหรัฐฯทุกวันนี้ “กลุ่มคนที่เพิ่มจำนวนเร็วที่สุดคือ คนไม่มีศาสนา” เดวิด รูเซ็น ผู้อำนวยการสถาบันฮาร์ตฟอร์ด อธิบาย
ผลการศึกษาในปี 2011 พบว่า มีอิหม่ามมัสยิดเพียงร้อยละ 25 ที่มองว่า “สังคมอเมริกันโหดร้ายกับอิสลาม” ลดลงจากเมื่อปี 2000 ที่มีผู้คิดเช่นนี้กว่าร้อยละ 50 ขณะที่ร้อยละ 55 ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า สังคมอเมริกัน “ขาดศีลธรรม”
อิหม่ามร้อยละ 98 มองว่า มุสลิมควรเข้าไปมีบทบาทในสถาบันของสหรัฐฯมากขึ้น และในฤดูเลือกตั้งปีนี้ ร้อยละ 91 รู้สึกว่า มุสลิมควรมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
“ชุมชนมุสลิมในอเมริกามีความจริงแท้, แข็งแรง, มีชีวิตชีวา และกำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของสังคมอเมริกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอียะห์ซาน แบ็กบี จากมหาวิทยาลัยเคนตักกี ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานชิ้นนี้เผย
“ความจริงก็คือ ในเมืองขนาดกลางทุกแห่งจะมีมัสยิดตั้งอยู่” แบ็กบี ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตัน พร้อมเสริมว่า แม้แต่ในรัฐที่เขาอยู่ “คุณจะพบมัสยิดตั้งอยู่ตามเทือกเขาต่างๆทั่วรัฐเคนตักกี”
จำนวนมัสยิดที่เพิ่มขึ้นในประเทศซึ่งยังคงหวาดผวากับเหตุการณ์ 9/11 มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการไหลเข้าของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยมุสลิมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโซมาเลีย, ชาวอิรัก, ชาวแอฟริกันตะวันตก และชาวบอสเนีย
ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การอพยพของชาวมุสลิมมาสู่ย่านที่พักอาศัยแถบชานเมืองใหญ่ และการที่มุสลิมอเมริกันมีฐานะดีขึ้นจนสามารถระดมทุนก่อสร้างมัสยิดใหม่ๆ ในชุมชนของพวกเขาเองได้
ด้านความหลากหลายทางเชื้อชาติของผู้ที่เข้ามัสยิดเป็นประจำยังคงเหมือนเดิม โดยเป็นลูกหลานชาวเอเชียใต้ราว 1 ใน 3, ลูกหลานชาวอาหรับร้อยละ 27 และอีกร้อยละ 24 เป็นแอฟริกันอเมริกัน
