เอเจนซีส์ - กลุ่มตอลิบานอ้างความรับผิดชอบในเหตุระเบิดรถยนต์ฆ่าตัวตายบริเวณประตูทางเข้าสนามบินจาลาลาบัด ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพนาโต ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 รายวันนี้ (27) อันเป็นวันที่ 7 ของกระแสความรุนแรงสืบเนื่องจากการเผาคัมภีร์อัลกุรอานที่ฐานทัพอเมริกันแห่งหนึ่ง ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ลั่นแม้สหรัฐฯ เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สถานการณ์รุนแรงนี้ “ต้องจบ”
ผู้เสียชีวิตประกอบด้วยพลเรือน 6 ราย ทหารอัฟกานิสถาน 1 นาย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยท้องถิ่นอีก 2 ราย ขณะที่ทหารนาโตไม่เป็นอะไร แต่ได้ระดมกำลังปิดกั้นการเข้าออกสนามบินแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพแห่งหนึ่ง
กลุ่มตอลิบานออกมาแถลงแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่การประท้วงต่อต้านสหรัฐฯ จากเหตุการณ์เผาคัมภีร์อัลกุรอานที่ฐานทัพอากาศบากรัม ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 7 และมีผู้เสียชีวิตราว 40 รายทั่วอัฟกานิสถาน
วันนี้ นอกจากเหตุที่สนามบินเมืองจาลาลาบัด ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดนันการ์ฮาร์แล้ว ซาบิฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกของกลุ่มตอลิบาน ยังบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า คนของตอลิบานที่เป็น “พ่อครัวชาวอัฟกัน” คนหนึ่ง ได้แอบวางยาพิษในอาหารที่ปรุงให้แก่ทหารนาโต้ในฐานทัพอีกแห่งหนึ่ง แต่อยู่ในเขตจังหวัดนันการ์ฮาร์เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม โฆษกทหารนาโตระบุว่า ได้มีการสอบสวนเรื่องยาพิษในอาหารจริง ภายหลังที่พบ “ร่องรอยของสารฟอกขาว” ในผลไม้และกาแฟ แต่ไม่ได้ทำให้ผู้ใดบาดเจ็บล้มตาย
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันอาทิตย์ (26) วันเดียว มีทหารสหรัฐฯ 7 นายได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดที่กลุ่มผู้ประท้วงขว้างใส่ฐานทัพในจังหวัดคุนดุซ
ส่วนวันเสาร์ (28) ที่ปรึกษาอเมริกัน 2 คนถูกยิงเสียชีวิตในกระทรวงมหาดไทย เพียงไม่กี่วันหลังจากทหารอเมริกัน 2 คนถูกทหารอัฟกันยิงตายในขณะที่ผู้เดินขบวนหลายพันคนเคลื่อนเข้าไปใกล้ฐานทัพแห่งหนึ่งของพวกเขาซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอัฟกันเผยว่า ที่ปรึกษาอเมริกัน 2 คนที่ถูกยิงตายในกระทรวงมหาดไทยได้แสดงท่าทีดูแคลนการประท้วงต่อต้านอเมริกันจากกรณีการเผาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้า อับดุล ซาบูร์ ตำรวจฝ่ายข่าวกรองชาวอัฟกันวัย 25 ปี ที่ขณะนี้กำลังถูกตามล่าตัวในฐานะผู้ต้องสงสัย
นับจากความรุนแรงปะทุขึ้น สถานทูตอเมริกันสั่งปิดการเข้า-ออก และเตือนชาวอเมริกันในอัฟกานิสถานว่า มีภัยคุกคามระดับสูง
เหตุจลาจลได้ลุกลามไปทั่วอัฟกานิสถานในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้บรรดาผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีบารัค โอบามา และผู้บัญชาการทหารอีกหลายนาย แถลงขอโทษแล้วก็ตาม
ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศแดนอินทรี กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า แม้สหรัฐฯ เสียใจต่อเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประท้วง แต่ก็เชื่อว่า การประท้วง “ต้องจบ” และควรทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสร้างสันติภาพควบคู่ไปกับสานต่อการรักษาความมั่นคงของอัฟกานิสถาน
ขณะที่ ไรอัน คร็อกเกอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำอัฟกานิสถานกล่าวว่า สหรัฐฯ ควรต่อต้านการเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานก่อนกำหนด แต่ควรเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าเพื่อสร้างสถานการณ์ที่อัลกออิดะห์จะไม่สามารถกลับมายังประเทศนี้ได้อีก
อนึ่ง ภายใต้ข้อตกลงระหว่างประเทศ กองกำลังนานาชาติจะต้องถอนออกจากอัฟกานิสถานภายในสิ้นปี 2014
วันเดียวกัน ประธานาธิบดีฮาร์มิด คาร์ไซ ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ
ผู้นำอัฟกันประณามการดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอานด้วยถ้อยคำรุนแรง และชี้ว่าผู้กระทำผิดต้องถูกนำตัวมาลงโทษ พร้อมสำทับว่า ตนเคารพความรู้สึกของชาวอัฟกันที่โกรธแค้นการเผาคัมภีร์กุรอาน กระนั้น ไม่ควรปล่อยให้ศัตรูของอัฟกานิสถานดึงเอาความรู้สึกดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิด
ทั้งนี้ กลุ่มตอลิบานเรียกร้องให้ชาวอัฟกานิสถานจับอาวุธเข่นฆ่าทหารต่างชาติเพื่อแก้แค้น ทั้งยังอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุสังหารที่ปรึกษากองทัพสหรัฐฯ 2 คนภายในกระทรวงมหาดไทย
เหตุการณ์นั้นทำให้นาโตและยุโรปอีกหลายประเทศเรียกที่ปรึกษาออกจากกระทรวงต่างๆ ของอัฟกานิสถาน ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีมหาดไทยอัฟกานิสถานตัดสินใจยกเลิกการเยือนวอชิงตัน เพื่อจัดการกับสถานการณ์ในประเทศ