เอเอฟพี - สันนิบาตอาหรับได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ในซีเรียแล้ววานนี้ (28) ขณะที่เหตุนองเลือดจากการปราบปรามผู้ประท้วงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กระทั่งมีผู้เสียชีวิตเกินกว่า 200 ราย ในช่วงเวลาเพียง 4 วัน
ขณะเดียวกัน แกนนำจากสภาแห่งชาติซีเรีย (เอสเอ็นซี) องค์กรฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย จะเดินทางไปยังกรุงนิวยอร์ก เพื่อกดดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หามาตรการช่วยปกป้องชีวิตประชาชนจากเงื้อมมือของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
ด้านชาติอาหรับและยุโรปกำลังจับมือกันเสนอมาตรการใหม่เข้าที่ประชุมยูเอ็น ซึ่งถูกคัดค้านจากรัสเซีย พันธมิตรสำคัญของซีเรีย กรณีการปราบปรามผู้ประท้วงซีเรียที่ดำเนินมายาวนานกว่า 11 เดือน
สำหรับการยุติภารกิจของคณะผู้สังเกตการณ์ นาบิล อัล-อาราบี เลขาธิการสันนิบาตอาหรับ กล่าวว่า มีการตัดสินใจ หลังได้ปรึกษากับรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติอาหรับหลายต่อหลายรอบ จากเหตุร้ายที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและเหยื่อส่วนใหญ่ล้วนเป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์
พลเอก มูฮัมหมัด อาห์เหม็ด มุสตาฟา อัล-ดาบี หัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ ระบุเมื่อวันศุกร์ (27) ว่า เหตุความไม่สงบเลวร้ายลงกว่าเดิม ตั้งแต่วันอังคาร (24) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองฮอมส์ เมืองฮามา และเมืองอิดลิบ ซึ่งล้วนเป็นศูนย์กลางการประท้วง
สำนักข่าวเอเอฟพีได้รับรายงานจากกลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียและสื่อซีเรีย ว่าตั้งแต่วันอังคาร มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 212 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์จำนวน 165 คน เข้าปฏิบัติหน้าที่ในซีเรียเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว หลังจากซีเรียตกลงรับแผนของสันนิบาตอาหรับ ซึ่งต้องการให้กรุงดามัสกัสหยุดยั้งเหตุนองเลือด ปล่อยตัวนักโทษการเมือง ถอนรถถังออกจากเขตการชุมนุม และยินยอมให้ผู้สังเกตการณ์และนักข่าวต่างประเทศปฏิบัติหน้าที่โดยเสรี
สำนักข่าวซานาของซีเรียรายงานว่า ทางการซีเรียประหลาดใจและเสียใจกับการยุติภารกิจของสันนิบาตอาหรับ หลังจากเพิ่งตัดสินใจ (เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) ที่จะขยายเวลาสังเกตการณ์ออกไปอีก 1 เดือน โดยเจ้าหน้าที่ซีเรียคนหนึ่งกล่าวหาว่า สันนิบาตอาหรับ “มีจุดประสงค์กดดันให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง”
วานนี้ กลุ่มนักเคลื่อนไหวรายงานถึงการรบระหว่างทหารผู้ภักดีต่ออัสซาดกับทหารผู้แปรพักตร์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกอย่างน้อย 34 ราย ส่วนสื่อของทางการซีเรียรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่และทหารถูกซุ่มยิงเสียชีวิตรวม 7 ราย อนึ่ง ระบอบอัสซาดยืนกรานมาตลอดว่ากำลังสู้รบกับกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งสมรู้ร่วมคิดกับชาติตะวันตก