เอเอฟพี - ประธานาธิบดีลี เมียงบัค แห่งเกาหลีใต้ แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ในวันนี้ (2) ว่า คาบสมุทรเกาหลีที่เผชิญความแตกแยกกำลังเดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังการอสัญกรรมของ คิม จองอิล อดีตผู้นำสูงสุดของโสมแดง และมองไปถึงโอกาสอันดีในการพัฒนาความสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ผู้นำโสมขาวก็ประกาศมั่นที่จะตอบโต้การยั่วยุใดๆ ก็ตามจากทางเกาหลีเหนือภายใต้ คิม จองอึน ผู้นำคนใหม่
ฝ่ายเกาหลีเหนือยังโจมตีแกนนำรัฐบาลกรุงโซลต่อเนื่อง พร้อมทั้งระบุให้ฝ่ายเกาหลีใต้ต้อง “คุกเข่าขอขมา” ที่ไม่แสดงความเคารพต่อการอสัญกรรมของ คิม จองอิล ที่ประชาชนโสมแดงเคารพรักและเทิดทูน
ระหว่างแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ลี เมียงบัค ระบุว่า สถานการณ์ด้านการเมืองของคาบสมุทรเกาหลี “อยู่ในช่วงจุดเปลี่ยน แต่มีโอกาสที่จะเกิดทั้งความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน ... เรากำลังเปิดโอกาส เราสามารถเปิดประตูสู่ยุคสมัยใหม่ของคาบสมุทรเกาหลี หากเกาหลีเหนือแสดงความจริงใจ”
ก่อนหน้านี้ สื่อโสมแดงเผยแพร่โฆษณานิยาม คิม จองอึน เป็นผู้สืบทอดอันยิ่งใหญ่ มาต่อเนื่องตั้งแต่ คิม จองอิล ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม โดยสัปดาห์ที่แล้ว กรุงเปียงยางยังประกาศเตือนว่า โลกไม่มีวันเห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายใต้การนำของจองอึน และข่มขู่จะตอบโต้เกาหลีใต้ที่ไม่แสดงความเคารพต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ คิม จองอิล
จากคำขู่ดังกล่าว ประธานาธิบดีลี เมียงบัค กล่าวในการแถลงวันนี้เช่นกันว่า กรุงโซลก็ “จะตอบโต้อย่างแข็งกร้าว” ต่อการรุกรานใดๆ แต่ก็ตั้งความหวังถึง “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” เมื่อเกาหลีเหนือไม่มี คิม จองอิล คอยควบคุม โดยระบุว่า ปี 2012 อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเจรจายุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ หรือ “การเจรจา 6 ฝ่าย” ที่ชะงักงันมานานนับปี
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์โรดง ชินมุน ของทางการโสมแดง ฉบับวันนี้รายงานว่า “เราจะไม่อดทนต่ออาชญากรรมที่ไร้มนุษยธรรมจากการกระทำของระบอบลี เมียงบัค เราจะสู้จนถึงที่สุด หากรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่คุกเข่าขอขมา” นอกจากนี้ กรุงเปียงยางประกาศกร้าวจะไม่เจรจากับรัฐบาลลี เมียงบัค ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2013
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติบาดหมางรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่ ลี เมียงบัค รับตำแหน่งผู้นำเกาหลีใต้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2008 พร้อมนโยบายยกเลิกการให้ความช่วยเหลือเกาหลีเหนือโดยปราศจากเงื่อนไข
สถานการณ์ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อกรุงโซลกล่าวหาเกาหลีเหนือว่า ยิงตอร์ปิโดโจมตีเรือรบโชนัน เป็นผลให้ทหารเกาหลีใต้เสียชีวิต 46 นาย เมื่อเดือนมีนาคม 2010 เกาหลีเหนือปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ในเวลาต่อมา กลับยิงปืนใหญ่ถล่มเกาะชายแดนระหว่างสองประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2010 ซึ่งคร่าชีวิตทหารและพลเรือนโสมขาวรวม 4 ราย