เอเอฟพี - กลุ่มติดอาวุธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย หันมาโจมตีพลเรือนผู้บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม องค์การนิรโทษกรรมสากล (เอไอ) แถลงวันนี้ (27)
ความขัดแย้งซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2004 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วหลายพันรายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
รายงานจากเอไอ เผยว่า ผู้เสียชีวิตเกือบ 2 ใน 3 เป็นพลเรือน ทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม มีตั้งแต่ชาวไร่ชาวนา, ผู้นำศาสนา ไปจนถึงครูและข้าราชการ
เอไอ ชี้แจงว่า ข้อหาอาชญากรรมสงครามเกี่ยวพันกับพฤติกรรมของกลุ่มก่อการร้ายซึ่งโจมตีประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “สงครามติดอาวุธภายในประเทศ”
“เราได้ข้อสรุปว่าจุดประสงค์ของการโจมตีก็เพื่อสร้างความหวาดกลัว” เบนจามิน ซาวักกี นักวิจัยจากเอไอ ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานดังกล่าว อธิบายต่อสื่อมวลชนที่กรุงเทพมหานคร
เอไอ เรียกร้องให้กลุ่มติดอาวุธ “ยุติการโจมตีพลเรือนโดยเจตนา, การโจมตีแบบไม่เลือกหน้า และความรุนแรงอื่นๆ ที่ขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมสากล ซึ่งการกระทำเหล่านี้เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม”
รายงานฉบับนี้ ยังระบุว่า แม้จะมีการส่งทหารลงไปรักษาความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนใต้ แต่ก็ไม่อาจใช้อำนาจควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเต็มที่
“การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่บั่นทอนความปลอดภัย, ความมั่นคง และการปกป้องประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับความขัดแย้ง” เอไอระบุ
ปัจจุบันทางการไทยหันมาใช้อาสาสมัครป้องกันชุมชนและกำลังรบกึ่งทหารเพิ่มขึ้น และสนับสนุนให้มีการสะสมอาวุธเบาขึ้นในพื้นที่ เอไอเผย
ข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ระบุว่า เหตุสังหารที่เกิดขึ้นเกือบจะรายวันตั้งแต่ปี 2004 ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปแล้วราว 4,800 คน
ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนว่า ชาวมาเลย์มุสลิมมักถูกทางการเลือกปฏิบัติ และถูกทหารละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
