วอลสตรีทแฉ “ซีเรีย” ข่มขู่พลเมืองในต่างแดน-ไล่บี้ถึง “ญาติมิตร” หากต่อต้านรัฐบาล

เอเอฟพี - นักการทูตซีเรียไล่คุกคามพลเมืองในต่างแดนที่เป็นกระบอกเสียงโจมตีรัฐบาล พร้อมส่งรายงานกลับประเทศให้ตามข่มขู่และจับกุมญาติมิตรของผู้ต่อต้านด้วย หนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์เนิล รายงานวันนี้(17)

รัฐบาลสหรัฐฯให้สัมภาษณ์กับวอลสตรีทว่า พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ารัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด อาศัยรายงานจากทูตในต่างประเทศเข้าจับกุมญาติพี่น้องของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในต่างแดน โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสายซีเรียที่จัดการประท้วงอย่างสันติในสหรัฐฯ

ชาวอเมริกันเชื้อสายซีเรีย 6 คน เผยกับวอลสตรีทว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตพยายามสะกดรอยและถ่ายภาพผู้ประท้วง แม้แต่นักการทูตและทูตซีเรียประจำสหรัฐฯก็เคยไปที่ชุมชนชาวอาหรับพลัดถิ่น เพื่อตราหน้ากลุ่มต่อต้านว่าเป็น “คนทรยศ” ด้วย

“พวกเขาข่มขู่เราทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน” ฮาเซ็ม ฮัลลัก นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายซีเรีย ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ระบุ

ฮัลลัก เล่าว่า น้องชายของเขาที่ชื่อ ซาเคอร์ ถูกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองซีเรียจับไปทรมานและสังหารเมื่อเดือนพฤษภาคม หลังกลับจากงานสัมมนาในสหรัฐฯ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ในเมืองอัลเลโปยังพยายามสืบหารายชื่อนักเคลื่อนไหวและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่ ซาเคอร์ เคยพบ ทั้งยังสะกดรอย ซาเคอร์ ตลอดเวลาที่อยู่ในสหรัฐฯด้วย

ฮัลลัก ยืนยันว่า น้องชายของเขาไม่เคยมีส่วนในกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลซีเรียเลย

วอลสตรีท ยังอ้างคำพูดของบุคคล 3 คนที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ(เอฟบีไอ) เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ว่า เอฟบีไอ กำลังเร่งหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า อิมาด มุสตาฟา ทูตซีเรียประจำสหรัฐฯ เคยข่มขู่ชาวอเมริกันเชื้อสายซีเรียจริงหรือไม่

เดือนที่แล้วกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเคยประณาม มุสตาฟา ต่อสื่อมวลชน หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตซีเรีย “แอบบันทึกภาพและวีดีโอผู้ประท้วงในสหรัฐฯ ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลซีเรียอย่างสันติ”

ด้าน มุสตาฟา ก็ให้สัมภาษณ์กับวอลสตรีทวานนี้(16) โดยระบุว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นการ “ให้ร้ายและโกหกทั้งเพ” พร้อมท้าให้กระทรวงการต่างประเทศหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสถานทูตซีเรียเคยข่มขู่หรือสะกดรอยตามใครจริงหรือไม่

วอลสตรีท ยังเผยพฤติกรรมข่มขู่ประชาชนโดยเจ้าหน้าที่ซีเรียในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ, ยุโรป และละตินอเมริกา

นักสิทธิมนุษยชนระบุว่า การปราบปรามผู้ต่อต้านรัฐบาลในซีเรียซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตไปแล้ว 1,827 ราย ส่วนเจ้าหน้าที่ความมั่นคงถูกสังหารไป 416 นาย