เทเลกราฟ/เดลีเอ็กซ์เพรส - ชายเยอรมนี วัย 32 ปีรายหนึ่ง ได้รับเสียงชื่นชมในความกล้าหาญประหนึ่ง “วีรบุรุษ” หลังจากเขาขับเรือยนต์ลำเล็ก ตรงเข้าไปยังระยะสังหาร เพื่อช่วยชีวิตเยาวชนหลายสิบรายบริเวณเกาะอูเทอยา จากการกราดยิงของฆาตกรชาวนอร์เวย์ เมื่อวันศุกร์ (22) ที่ผ่านมา
มาร์เซล เจลฟเฟอ เป็นคนแรกที่รุดไปยังที่เกิดเหตุบนเกาะอูเทอยา ซึ่งเยาวชนมากกว่า 500 คน เข้าค่ายฤดูร้อนขององค์กรยุวชนแรงงาน ขณะเดียวกันนั้นเอง อันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก เปิดฉากกราดยิงใส่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน เขาเพิ่งก่อเหตุวางระเบิดรถยนต์ถล่มอาคารศูนย์ราชการกรุงออสโล
เจลฟเฟอ กำลังตั้งแคมป์บนฝั่งกับครอบครัว ทว่า ทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น และเห็นกลุ่มควันลอยอยู่เหนือขอบฟ้า เขารีบบึ่งไปยังเรือยนต์ลำเล็กที่เช่ามา และขับไปยังเกาะอูเทอยา เขาเปิดเผยถึงเหตุการณ์เสี่ยงชีวิต ซึ่งสามารถช่วยเยาวชนที่กำลังหนีตายจากห่ากระสุนของเบรวิก ได้กว่า 30 ราย ว่า “ผมแค่ทำตามสัญชาตญาณ … ผมรู้ว่าดอกไม้ไฟกับเสียงปืน มันต่างกันอย่างไร”
“ความร่วมมือกับตำรวจและหน่วยกู้ภัยหลังจากนั้นเป็นไปอย่างดีมาก แต่มันก็มาช้าเกินไป ครั้งแรกผมออกช่วยเด็กๆ ด้วยตัวคนเดียว”
มาร์เซล เจลฟเฟอ เล่าว่า เขากำลังนั่งดื่มกาแฟกับพ่อแม่บริเวณริมฝั่ง และคุยกันถึงเหตุระเบิดศูนย์ราชการกรุงออสโล ขณะที่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากเกาะอูเทอยา ประมาณ 17.00 - 18.00 น.เมื่อวันศุกร์ (22)
“ผมรู้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงอาวุธปืนอัตโนมัติ” เขากล่าว “ต่อมา ผมเห็นเด็ก 2 คนกำลังว่ายน้ำหนีมาจากเกาะอูเทอยา แล้วก็มีกลุ่มควันจากระเบิดมือ และเสียงปืนอัตโนมัติดังขึ้นหลายนัด ผมใช้กล้องส่องทางไกลเห็นคนอีกมากอยู่ในน้ำ”
เจลฟเฟอ รีบคว้ากุญแจและตรงไปที่เรือ เขาโยนเสื้อชูชีพให้กับกลุ่มวัยรุ่นที่ลอยคออยู่ในน้ำ ขณะที่พวกเด็กๆ ตะโกนถามว่า “คุณเป็นตำรวจ คุณเป็นตำรวจใช่ไหม?” ผู้รอดชีวิตบางคนบอกกับเจลฟเฟอ ว่า มือปืนเป็นตำรวจ ขณะที่คนอื่นๆ ตะโกนว่า “ผู้ก่อการร้าย ผู้ก่อการร้าย ผู้ก่อการร้าย”
เขาช่วยดึงคนขึ้นมาบนเรือมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ขณะขับเรือเข้าใกล้กับเกาะอูเทอยา เขาใช้กล้องส่องทางไกลมองหาตัวคนร้าย และเห็นมือปืนกำลังยิงผู้เคราะห์ร้ายทีละคน
“ผมขับเรือกลับไปรับคนประมาณ 4-5 เที่ยว หลังจากนั้น ตำรวจจึงบอกให้ผมหยุด” เขาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ดักบลาเดต (Dagbladet) สื่อท้องถิ่นของนอร์เวย์
“เด็กพวกนี้ดีมาก พวกเขาให้กำลังใจและจัดระบบการช่วยเหลือกันเอง พวกเด็กๆ คุยกันว่าใครต้องได้รับการปฐมพยาบาล ใครต้องขึ้นเรือเป็นกลุ่มแรก ‘คุณต้องเอาเขาไปก่อน คุณต้องเอาเขาไปก่อน’ พวกเขาบอกกับผม”