xs
xsm
sm
md
lg

ผลงานสำคัญที่สุดของ'หูจิ่นเทา'คือ'สายสัมพันธ์กับไต้หวัน'

เผยแพร่:   โดย: ฟรานเชสโก ซิสซี

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Hu colossus strides across the strait
By Francesco Sisci
06/07/2011

วาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแดนมังกรของเขายังเหลืออยู่อีกแค่ปีเศษ เวลานี้จึงเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะขบคิดพิจารณาถึงผลงานอันสำคัญโดดเด่นซึ่งเกิดขึ้นในยุคสมัยของหู จิ่นเทา เศรษฐกิจจีนนั้นเติบโตพุ่งพรวดภายใต้การนำของเขา ทว่านั่นย่อมเป็นมรดกที่ได้รับตกทอดจากการปฏิรูปต่างๆ ของเติ้ง เสี่ยวผิง สิ่งที่สามารถนิยามได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่หูครองตำแหน่งสูงสุดอย่างแท้จริง น่าจะได้แก่ความคืบหน้าก้าวใหญ่ๆ ในเส้นทางมุ่งสู่การรวมชาติกับไต้หวัน มันเป็นก้าวเดินซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลบทิ้งถอยหลังกลับ

ปักกิ่ง - ช่วงเวลาอยู่ในอำนาจอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีหู จิ่นเทา จะหมดสิ้นลงหลังจากครองมาได้ 9 ปี เมื่อมีการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศครั้งที่ 18 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้า ถึงแม้เขายังอาจจะยังอ้อยอิ่งไปอีกหน่อย --แบบเดียวกับที่ผู้นำจีนคนก่อนๆ หน้าเขา อย่างเช่น เจียง เจ๋อหมิน และ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เคยปฏิบัติมา-- ด้วยการนั่งเก้าอี้ประธานของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางอันทรงอำนาจอีกสักปีสองปี หรือเข้ากินตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของคณะรัฐบาล แต่วาระแห่งการเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค และประธานาธิบดีของประเทศจะต้องสิ้นสุดลง ด้วยเหตุนี้เอง ในตอนนี้จึงดูจะเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะขบคิดหาข้อสรุปบางประการเกี่ยวกับยุคสมัยของเขา

หลายสิ่งหลายอย่างทีเดียว ถ้าหากหยิบยกนำมาระบุว่าเป็นคุณูปการส่วนบุคคลของเขาที่มีต่อประเทศจีน ก็อาจก่อให้เกิดการถกเถียงโต้แย้งได้มาก เป็นต้นว่า มหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่กรุงปักกิ่งเป็นเจ้าภาพในปี 2008 จีนก็ชนะได้สิทธิเป็นเป็นผู้จัดตั้งแต่ยุคของเจียงแล้ว หรือความสำเร็จทางเศรษฐกิจจนกระทั่งได้เห็นแดนมังกรแซงหน้าญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก แท้ที่จริงแล้วย่อมเป็นผลผลิตแห่งการตัดสินใจในเรื่องการปฏิรูปต่างๆ ของเติ้ง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในช่วงที่จู หรงจี รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในทศวรรษ 1990

กระนั้นก็ตาม ยังมีสิ่งหนึ่งที่เป็นผลงานของหูอย่างไม่อาจโต้แย้ง โดยที่ในเรื่องนี้แหละเขาใช้ความพยายามผลักดันจนกระทั่งประสบความสำเร็จในสิ่งที่แม้กระทั่งเหมา เจ๋อตง ก็ยังเคยล้มเหลวมาแล้ว ผลงานดังกล่าวนี้ ได้แก่ การวางรากฐานอันแน่นหนามั่นคงให้แก่การรวมประเทศเป็นเอกภาพกับไต้หวัน ความเป็นจริงในเวลานี้ยืนยันอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่า นับตั้งแต่ปี 1949 เมื่อ “นายท้ายเรือผู้ยิ่งใหญ่” ขึ้นครองอำนาจในกรุงปักกิ่ง และกองทหารพรรคก๊กมิ่นตั๋ง (เคเอ็มที) ที่พ่ายแพ้ปราชัยหลบหนีไปอยู่ที่ไต้หวัน สองซีกสองส่วนของแดนมังกร ไม่เคยเลยที่จะมีความใกล้ชิดกันอย่างมากมายถึงขนาดนี้

ไต้หวันได้ยกเลิก “3 ห้าม” ในการติดต่อโดยตรงระหว่างไต้หวันกับแผ่นดินใหญ่ อันได้แก่ การติดต่อทางเครื่องบิน, เรือ, และโทรคมนาคม ปัจจุบันการติดต่อทั้ง 3 ประการนี้สามารถกระทำระหว่างแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันโดยตรง ไม่ต้องซิกแซกยักเยื้องไปผ่านฮ่องกงเสียก่อนเหมือนในอดีตอีกแล้ว เศรษฐกิจของไต้หวันในเวลานี้ไม่ได้เพียงแค่บูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจของแผ่นดินใหญ่เท่านั้น หากแต่อยู่ในฐานะต้องพึ่งพาอาศัยแผ่นดินใหญ่ด้วย ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่ว ของไต้หวันยังได้เริ่มพูดจากกับผู้นำฝ่ายปักกิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการรวมตัวเป็นเอกภาพในทางการเมือง ปีที่แล้ว เจิ้ง ปี้เจียน (Zheng Bijian) ที่ปรึกษาทางการเมืองของหู ได้เดินทางข้ามช่องแคบไปยังกรุงไทเป เพื่อเริ่มต้นปริปากพูดคุยเรื่องนี้

มองโดยภาพรวมแล้ว สิ่งต่างๆ ในแนวรบด้านนี้มีความก้าวหน้าไปไกลมากจนกระทั่งถ้าหากผู้สมัครของพรรคเดโมแครติก โปรเกรสสีฟ ปาร์ตี้ (Democratic Progressive Party) ที่เป็นฝ่ายค้านในเวลานี้ สามารถที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันในปีหน้า เขาหรือเธอก็จะต้องประสบความยากลำบากอย่างยิ่งในการพยายามหวนทวนกลับออกไปจากสถานการณ์ปัจจุบัน โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสวัสดิภาพของไต้หวัน ในบางแง่บางมุมแล้ว การรวมประเทศให้เป็นเอกภาพกับไต้หวันกำลังใกล้ที่จะเข้าถึงจุดเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยกเลิกถอดถอน ความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้หลายๆ ประการมีหลักฐานยืนยันว่าเป็นฝีมือการผลักดันอย่างเอาใจใส่ของหู โดยเริ่มตั้งแต่การที่ เหลียน จ้าน (Lian Zhan) หัวหน้าพรรคเคเอ็มทีในเวลานั้น เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของเขาในเมืองซีอาน บนแผ่นดินใหญ่จีนในปี 2005

ความสำเร็จอันเอิบอิ่มท่วมท้นเช่นนี้ มันใหญ่โตมหึมาเสียกระทั่งดูเหมือนจีนต้องประสบความลำบากไม่น้อยทีเดียวในการค่อยๆ ตระหนักรับรู้และยอมรับ เรื่องนี้สมควรที่จะทำให้ หู มีทุนทางการเมืองมากเพียงพอที่จะใช้สนับสนุนโครงการอันกล้าหาญโลดโผนใหม่ๆ ในช่วงเวลาหลายๆ ปีข้างหน้าแห่งชีวิตวัยเกษียณอายุหรือกึ่งเกษียณอายุของเขา จากการที่สิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างละเอียดอ่อนมุ่งที่จะประคับประคองไม่ให้เกิดการเสียสมดุล ไต้หวันเวลานี้จึงยังคงเป็นไต้หวัน และยังคงเป็นเรื่องง่ายดายที่จะทำให้ชาวไต้หวันเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนโดยเพียงแค่พูดถึงการรุกรานในทางพฤตินัยของชาวแผ่นดินใหญ่เท่านั้น

ขณะที่จีนกำลังมุ่งก้าวไปสู่เส้นทางที่จะทำให้ตนเองกลายเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงประมาณทศวรรษหน้า การอภิปรายถกเถียงกันระหว่าง “นักสากลนิยม” (universalists) กับ “นักลัทธิยกเว้น” (exceptionalists) ดังที่ เจมส์ ไมล์ส (James Miles) เขียนเอาไว้ในนิตยสารอีโคโนมิสต์ [ดูเรื่อง Rising power, anxious state นิตยสาร Economist, ฉบับJune 23, 2011.] ก็กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดในปักกิ่ง กระนั้นก็ตาม การอภิปรายถกเถียงเช่นนี้ย่อมไปสู่ผลลัพธ์ได้เพียงประการเดียว ยกเว้นแต่ว่าจีนต้องการที่จะทำลายตัวเองเท่านั้น

จีนนั้นใหญ่เกินไปและก็ทรงอำนาจเกินไป จนเกินกว่าที่จะยังคงดำรงสภาพเป็นข้อยกเว้นอยู่ในโลกซึ่งกำลังเกิดความแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกัน แดนมังกรก็เล็กเกินไป และ “เป็นข้อยกเว้น” มากเกินไป จนเกินกว่าที่จะทำให้ส่วนอื่นๆ ของโลกเกิดการแปรสภาพกลายเป็นจีนไปด้วย ในอดีตจีนเคยสามารถที่จะประกาศวางตัวโดดเดี่ยวเหินห่างและผิดแผกแตกต่าง จนกระทั่งแม้มีจำนวนประชากรมากมายมหึมา แต่ก็แยกห่างออกจากส่วนอื่นๆ ของโลก และอยู่ในฐานะไร้ความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองต่อส่วนอื่นๆ ของพื้นพิภพนี้ อย่างไรก็ดี การสิ้นสุดของการแยกตัวเหินห่างเช่นนี้ ได้รับการตอกย้ำในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงินทั่วโลก เมื่อจีนสามารถที่จะกลายเป็นชาติแรกในการจุดชนวนการฟื้นตัวซึ่งได้แพร่ลามไปสู่ประเทศอื่นๆ อีกด้วย

สำหรับประเทศที่ในระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมามีความภูมิอกภูมิใจกับการได้ดำรงอยู่อย่างแตกต่างแล้ว ประเด็นปัญหาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะกลายเป็น “นักสากลนิยม” ได้ ทำอย่างไรส่วนต่างๆ ของวัฒนธรรมจีนจึงจะสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของหีบห่อแห่งนักลัทธิสากลนิยม

หากพิจารณาจากทิวทัศน์รูปร่างหน้าตาของเมืองใหญ่ต่างๆ ของจีน ตลอดจนเสื้อผ้าที่ประชาชนจีนสวมใส่ สิ่งเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการที่จะดูเหมือนเป็นชาวอเมริกัน เหมือนเป็นชาวตะวันตก กระนั้นก็ตาม อาหารที่พวกเขาชื่นชอบ, หนังสือที่พวกเขาอ่าน และวิธีที่พวกเขาคิด ล้วนแต่ยังคงเป็นแบบจีนๆ เอามากๆ ทว่าสิ่งเหล่านี้เองก็มีความแตกต่างไปเยอะแยะแล้วจากสิ่งที่เคยเป็นมาเมื่อราวๆ 170 ปีก่อน เมื่อตอนที่ชาวจีนเกิดการเผชิญหน้าอย่างยืดเยื้อกับชาวตะวันตกเป็นครั้งแรกใน “สงครามฝิ่น” ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1842 โดยข้อเท็จจริงแล้ว ทั้งอาหารสำหรับใส่ท้องของพวกเขา และอาหารสำหรับการให้สมองขบคิดของพวกเขา ต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งอาหารเหล่านี้ยังหวนกลับมาเป็นปัจจัยทำให้พวกเขาเองเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ถึงแม้มันจะไม่ได้ถึงกับทำให้พวกเขากลายเป็นแบบชาวนิวยอร์กแท้ๆ ขึ้นมาได้ก็ตามที

ในที่นี้เอง ขณะที่ประสบการณ์และไหวพริบปฏิภาณในการติดต่อกับไต้หวันของหู ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับการเตรียมพร้อมมุ่งสู่อนาคตของจีน แต่ทว่าจีนยังจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้วย ในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนี้ไป จะเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิรูปประเทศเป็นต้นมา ที่ผู้คนวงกว้างในจีนจะไม่สามารถมีฉันทามติร่วมกันได้ เนื่องจากจะต้องมีบางคนบางภาคส่วนกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ผู้สูญเสียในระหว่างที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอันจำเป็น ครั้งแรกที่ผู้คนวงกว้างในแดนมังกรไม่สามารถมีฉันทามติร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปได้ ก็คือในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เมื่อเจียงผลักดันให้วิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ (state-owned enterprisesหรือ SOEs) ต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างรุนแรง วิสาหกิจเหล่านี้ต้องยุติความเป็นเครื่องมือทางการบริหารของรัฐบาล แล้วหันมาเป็นวิสาหกิจที่แท้จริง ระหว่างการเดินหน้าไปตามทางสายนี้ พวกเขาต้องปลดคนงานเป็นจำนวนล้านๆ คน

มาถึงเวลานี้ กำลังเกิดสถานการณ์ความยากลำบากในทำนองเดียวกัน วิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของทั้งหลายจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้มากขึ้นอีกหนหนึ่ง และต้องยอมรับโดยพื้นฐานว่าพวกเขาจะต้องหดเล็กลง เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้แก่พวกบริษัทเอกชนที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อมองจากแง่มุมในทางการเมืองแล้ว คราวนี้จะดำเนินการไปได้ด้วยความยากลำบากยิ่งกว่าครั้งแรกด้วยซ้ำ มันจะไม่ใช่เป็นเรื่องการปลดผู้คนที่อยู่ในระดับล่างๆ และไม่ได้มีอิทธิพลบารมีในทางการเมืองแล้ว แต่จะเป็นการดึงเอาอำนาจและเงินทองออกมาจากชายหญิงผู้ซึ่งกำลังมีฐานะเป็นกระดูกสันหลังของระบบของจีน โดยที่บางคนกระทั่งมีความสัมพันธ์ในทางสายเลือดและในทางผลประโยชน์กับคณะผู้นำพรรคทั้งในอดีตและในปัจจุบัน

นี่จะเป็นความท้าทายระดับมหึมาอย่างยิ่งสำหรับบิ๊กบอสคนต่อไปของจีน นั่นคือ สีว์ จิ้นผิง เขาจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อดำเนินภารกิจแบบนักสากลนิยมของประเทศจีน สีว์ย่อมไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์ในเรื่องนี้ ตัวเขาได้รับการจับตาและมีความสำคัญขึ้นมา ก็ในตอนที่เขาเป็นผู้ปกครองเมืองเวินโจว (Wenzhou) เมืองใหญ่ที่แทบทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในมือของผู้ประกอบการภาคเอกชน

ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นคอลัมนิสต์ให้ Il Sole 24 Ore หนังสือพิมพ์รายวันของอิตาลี สามารถติดต่อกับเขาทางอีเมลได้ที่ fsisci@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น