เอเอฟพี - กองกำลังติดอาวุธ 3 กลุ่มในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก อาจถูกดำเนินคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หลังก่อเหตุข่มขืนหมู่ครั้งใหญ่ โดยมีผู้ตกเป็นเหยื่ออย่างน้อย 387 ราย ทั้งผู้หญิงและผู้ชายภายในปี 2010 คณะสืบสวนแห่งยูเอ็นรายงาน วันนี้ (6)
“เนื่องจากพบข้อเท็จจริง ว่า การข่มขืนเช่นว่ามีการวางแผนเป็นอย่างดี และปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้ว ผู้ก่อเหตุข่มขืนหมู่อาจถูกดำเนินคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและอาชญากรรมสงคราม” คณะเจ้าหน้าที่ยูเอ็นฝ่ายสืบสวนระบุในรายงาน
คณะสืบสวนของยูเอ็นชุดนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อค้นหาความจริงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2010 จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้าน 13 แห่งในเขตวาลิกาเล (Walikale) จังหวัดนอร์-กีวู (Nord Kivu)
รายงานของยูเอ็นชิ้นนี้กล่าวโทษต่อ กลุ่มไม-ไม เชกา (Mai-Mai Cheka), กองกำลังประชาธิปไตยเพื่อปลดปล่อยรวันดา (เอฟดีแอลอาร์) และกองกำลังที่มีความเกี่ยวข้องกับ เอ็มมานูเอล เอ็นเซนกียุมวา นายทหารแปรพักตร์
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อการข่มขืนประมาณ 387 ราย โดยแบ่งออกเป็นผู้หญิง 300 ราย ผู้ชาย 23 ราย เด็กผู้หญิง 55 ราย และเด็กชายอีก 9 ราย นอกจากนี้ มีบ้านเรือนกว่า 923 หลังคาเรือน และร้านค้าอีก 42 แห่งถูกปล้นสะดม พลเรือนอีก 116 รายถูกลักพาตัวเพื่อบังคับใช้แรงงาน
คณะสืบสวนยูเอ็น ระบุว่า “การข่มขืนถูกใช้เป็นอาวุธสงคราม เป็นเครื่องมือข่มขู่ เพื่อทำให้พลเรือนตกเป็นทาส ด้วยการวางแผน และโจมตีประชาชนในหมู่บ้าน 13 แห่ง” กองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องพลเรือน
ทั้งนี้ การข่มขืนหมู่เป็นปัญหาเรื้อรังในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยผู้ก่อเหตุไม่ได้มีเพียงกลุ่มกบฏต่างๆ เท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มเจ้าหน้าที่ของทางการเองก็กลายเป็นผู้กระทำผิดอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีผู้หญิงประมาณ 284 รายแจ้งว่าถูกทหารข่มขืนในจังหวัดซูด-กีวู (Sud-Kivu) พื้นที่ซึ่งยูเอ็นนิยามว่า “นครหลวงแห่งการข่มขืนของโลก”