(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Colors bleed ahead of Thai polls
By Seth Kane
14/06/2011
ประดาอุปสรรคสิ่งกีดขวางการขึ้นครองอำนาจของพรรคเพื่อไทยที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ตลอดจนการขึ้นครองอำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของเขาซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากพรรคนี้ให้เป็นนายกรัฐมนตรี) ต่างกำลังล้มครืนลงมาเป็นแถบๆ ก่อนหน้าการเลือกตั้งของประเทศไทยในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ โดยที่ทั้งกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านอย่างสุดโต่งต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ล้วนกำลังเกิดการแตกร้าวแยกตัว อย่างไรก็ดี ความเป็นผู้เผด็จการเบ็ดเสร็จและอดีตอันเต็มไปด้วยคำถามของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่จะกลับมาหลอกหลอน
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *
อุบลราชธานี และ กรุงเทพฯ – ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนเข้าเกียร์สูงมุ่งสู่การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม แต่ไม่ว่าผลการลงคะแนนเสียงจะออกมาอย่างไร ก็มีเค้าลางที่จะเกิดการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนภายหลังการเลือกตั้ง โดยที่การประท้วงเหล่านี้มีศักยภาพที่จะเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพขึ้นมา ภายหลังระยะเวลา 6 ปีแห่งความปั่นป่วนยุ่งเหยิงอันเกิดจากแรงขับดันของการชุมนุมประท้วง จนทำให้การแตกแยกแบ่งขั้วทางการเมืองของไทยเป็นไปอย่างเข้มข้น มาถึงเวลานี้ขบวนการประท้วงคัดค้านทั้งฝ่าย “เสื้อแดง” และฝ่าย “เสื้อเหลือง” ต่างก็กำลังเผชิญกับภูมิทัศน์ทางการเมืองที่แปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว สภาพการณ์ที่ไม่เหมือนเก่าอีกแล้วเช่นนี้กำลังสร้างความท้าทายใหม่ๆ ต่อความสามัคคีเป็นเอกภาพ, อิทธิพลบารมี, ตลอดจนความเหมาะสมสอดคล้องที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปของทั้ง 2 ฝ่ายนี้
กลุ่มเสื้อเหลือง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พันธมิตรฯ) เริ่มเคลื่อนไหวอย่างคึกคักมีชีวิตชีวาครั้งแรกในปี 2005 กลุ่มนี้ได้แผ้วถางทางให้ฝ่ายทหารก่อการรัฐประหารยึดอำนาจซึ่งโค่นล้มนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงจากตำแหน่งในเดือนกันยายน 2006 การประท้วงของพันธมิตรฯในเวลาต่อมายังเป็นชนวนก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องจนไปสู่กระบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” ในปี 2008 ที่ทำให้รัฐบาล 2 ชุดของ 2 พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายสนับสนุนทักษิณต้องล้มคว่ำไป และกลายเป็นแรงดีดนำพาพรรคประชาธิปัตย์ของนายกรัฐมนตรีรักษาการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นสู่อำนาจ
อย่างไรก็ตาม นับแต่ที่นายอภิสิทธิ์ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ขบวนการเสื้อเหลืองก็อยู่ในอาการโซซัดโซเซ โดยประจักษ์พยานที่ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คือจำนวนน้อยนิดของผู้สนับสนุน ณ สถานที่ชุมนุมประท้วงในขณะนี้ของพวกเขาตรงบริเวณด้านนอกทำเนียบรัฐบาล คำปราศรัยปลุกระดมทำศึกที่ครั้งหนึ่งเคยแกร่งกล้าทรงพลังยิ่งของกลุ่มเสื้อเหลืองได้ถูกกัดเซาะบ่อนทำลายลงด้วยปัจจัยหลายๆ ประการ เป็นต้นว่า การแตกแยกในระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่แข่งขันช่วงชิงกันเอง, นโยบายและจุดยืนที่ไม่แน่ไม่นอน, ตลอดจนความแตกต่างในทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มต่างๆ ซึ่งเคยถูกซุกซ่อนมองข้ามกันไปในระยะปี 2006 และปี 2008 โดยที่ในช่วงเวลานั้น ความพยายามรณรงค์โค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดจนเหล่ารัฐบาลที่สนับสนุนเขา ยังคงเป็นเป้าหมายที่สามารถประคับประคองความสามัคคีเป็นเอกภาพกันของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้เอาไว้ได้
กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ดังกล่าวที่ครั้งหนึ่งเคยยินดีพร้อมใจที่จะอยู่ภายใต้ร่มธงเดียวกันนั้น มีทั้งพวกรอยัลลิสต์ (royalist) ที่มอง พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์, บรรดาผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ผู้เชื่อว่าไม่สามารถเอาชนะแนวร่วมทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ด้วยการต่อสู้ในการชักชักผู้หย่อนบัตรลงคะแนน, พวกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจที่ถูกคุกคามโดยแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ, กลุ่มธุรกิจใหญ่ที่กังวลกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้จัดทำข้อตกลงการค้าเสรีกับชาติต่างๆ ตลอดจนทำให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินกลายเป็นเรื่องการเมืองไปหมด, เหล่านักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่รู้สึกถึงอันตรายจากความโน้มเอียงไปสู่การเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จของ พ.ต.ท.ทักษิณ, กลุ่มชาวพุทธที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณเนื่องจากมองว่าเขาโลภโมโทสันเต็มไปด้วยกิเลส, และบรรดาชนชั้นกลางซึ่งไม่พอใจการทุจริตคอร์รัปชั่นตลอดจนนโยบายประชานิยมต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ในเวลานั้น กลุ่มเสื้อเหลืองได้รับความสนับสนุนอย่างสำคัญมากจากพวกระดับสูงทั้งในกองทัพ, ฝ่ายยุติธรรม, ระบบราชการ ทั้งนี้บุคคลระดับดังกล่าวมีความเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่จงรักภักดี รวมทั้งยังมุ่งมั่นส่งเสริมพันธมิตรทางการเมืองและทางธุรกิจของเขาเองที่อยู่ในสถาบันเหล่านี้จำนวนมาก และภาวะเช่นนี้คือการคุกคามสั่นคลอนระบบระเบียบทางการเมืองที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิม อย่างไรก็ดี ในการดำเนินกระบวนการขับไล่ไสส่ง พ.ต.ท.ทักษิณให้ตกลงจากอำนาจ ไปจนถึงระยะเวลาร่วม 2 ปีของคณะรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่ากลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ มีแนวทางที่แตกต่างกันไปและเกิดการแยกห่างกันออกไปมากขึ้นๆ
หลายๆ กลุ่มมองว่าการนำเอาสัญลักษณ์สถาบันมาอยู่ตรงแถวหน้าของการประท้วงทางการเมืองที่มีลักษณะแบ่งฝ่ายแบ่งขั้วนั้น ในที่สุดแล้วจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ส่วนพวกผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกผลักไสออกมาโดยมติของแกนนำเสื้อเหลืองที่หันมาคัดค้านนายอภิสิทธิ์และพรรคนี้เนื่องจากประเด็นปัญหาชายแดนกัมพูชา ขณะเดียวกัน เหล่าผู้นำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ได้ผละออกจากกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อไม่นานมานี้ โดยพูดกล่าวหาอย่างเปิดเผยว่า ขบวนการนี้รับใช้ผลประโยชน์ของแกนนำพันธมิตรฯบางคนเท่านั้น
กลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ ก็เช่นกัน มาถึงเวลานี้พวกเขารู้สึกถูกคุกคามน้อยลงไปแล้ว จากอาณาจักรธุรกิจที่หดเล็กลงและกระจัดกระจายไปมากแล้วของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับพวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและองค์กรนอกภาครัฐบาล (เอ็นจีโอ) ได้ทอดทิ้งกลุ่มพันธมิตรฯไปภายหลังที่ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ และคณะรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยฝ่ายทหารได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายที่ริดลอนสิทธิต่างๆ และให้อำนาจบังคับแก่ภาครัฐอย่างเข้มงวดเกินเหตุ ตลอดจนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาความเป็นประชาธิปไตยลดน้อยลง
ความพยายามของกลุ่มพันธมิตรฯที่จะหลอมรวมขบวนการชุมนุมต่อสู้ตามท้องถนนของตนให้กลายเป็นพรรคการเมืองขึ้นมา ต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะที่พรรคการเมืองนี้เองก็พ่ายแพ้ไม่ได้ที่นั่งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น พวกที่หนุนหลังพรรคนี้ตั้งแต่เริ่มแรกจำนวนมากทีเดียวในที่สุดแล้วก็ได้แตกหักกับแกนนำพันธมิตรฯ ในประเด็นที่ว่าจะลงแข่งขันในการเลือกตั้งระดับชาติคราวนี้หรือไม่ โดยที่แกนนำพันธมิตรฯกำลังรณรงค์ให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งด้วยการโหวตโน และมีการเรียกร้องให้ระงับใช้ประชาธิปไตยไว้ชั่วคราวสัก 3 ถึง 5 ปี เพื่อ “ชำระล้าง” การเมืองไทยให้ปลอดจากเหล่านักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น
ก่อนหน้านั้นไปอีก พวกชนชั้นกลางรู้สึกขัดแย้งสับสน กับยุทธวิธีต่อสู้ของกลุ่มเสื้อเหลืองที่ดูจะมีลักษณะสุดโต่งมากขึ้น เป็นต้นว่า การเข้ายึดท่าอากาศยานระหว่างประเทศของกรุงเทพฯในปี 2008 เช่นเดียวกันชนชั้นกลางเหล่านี้ก็เกิดความขัดแย้งสับสนต่อคณะรัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีการจับมือนำเอาพวกที่ถูกมองว่าเป็นพวกทุจริตคอร์รัปชั่นของคณะรัฐบาลทักษิณชุดก่อนๆ เข้ามาร่วมครองอำนาจด้วย
แน่นอนทีเดียวว่า ภายในกองทัพ, ฝ่ายยุติธรรม, และระบบราชการ ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านทักษิณอย่างเข้มข้นแรงกล้า แต่หลังจากการประท้วงของพวกเสื้อแดงอย่างนองเลือดจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในปีที่แล้ว ซึ่งได้ผลักดันประเทศถอยไปจนถึงขอบเหว และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องการเข้าไปแทรกแซงในลักษณะต่อต้านประชาธิปไตย ตลอดจนการประสบความล้มเหลวในเชิงนโยบาย ด้วยเหตุนี้เอง มาถึงเวลานี้จึงดูเหมือนจะเกิดบรรยากาศของความมุ่งมั่นมากขึ้น ที่จะยอมประนีประนอมกับกลไกทางการเมืองที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอย่างไรเสียก็มีความอ่อนแอลงไปกว่าเดิมแล้ว
ทางด้านพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงแม้ผลโพลหยั่งเสียงประชามติหลายๆ สำนักชี้ว่ากำลังเป็นตัวเก็งที่จะชนะได้ที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนี้ แต่ฝ่ายนี้ก็กำลังปรากฏสัญญาณให้เห็นหลายๆ ประการว่าเกิดการแตกร้าวทำนองเดียวกับฝ่ายเสื้อเหลืองเช่นกัน ขณะที่การหวนกลับมาอีกคำรบหนึ่งของคณะรัฐบาลที่เป็นฝ่ายสนับสนุนทักษิณ น่าจะสร้างความคึกคักกระปรี้กระเปร่าในระดับหนี่งให้แก่ขบวนการฝ่ายเสื้อแดงที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ขบวนการนี้ก็ไม่น่าที่จะผงาดยืนหยัดโดดเด่นอีกครั้ง เหมือนกับที่เคยทำได้ในระหว่างการประท้วงนองเลือดอันนำไปสู่ความสูญเสียอ่อนกำลังเมื่อปีที่แล้ว
สัญญาณสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า นปช.เกิดความแตกแยกกันนั้น อาจจะมีความชัดเจนน้อยกว่าในกลุ่มพันธมิตรฯ แต่กระนั้นก็มีรอยร้าวฉกรรจ์ๆ, ความแตกต่างกันในเรื่องยุทธศาสตร์ และความขัดแย้งช่วงชิงกันภายใน ซึ่งอาจจะทำให้ขบวนการนี้เกิดการแตกแยกและถดถอยหดตัวลงในทำนองเดียวกัน พวกเสื้อแดงบางส่วนนั้นมีแรงจูงใจสำคัญที่สุดอยู่ที่บรรดาคุณค่าทางด้านประชาธิปไตยทั้งหลาย และหลายๆ คนทีเดียวได้เคยเข้าร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในอดีตมาแล้ว
ขณะที่เห็นในอย่างชัดเจนว่า คนอื่นๆ จำนวนมาก กลับสาละวนสนใจอยู่แต่กับผลประโยชน์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่พวกเขาสามารถสะสมพอกพูนเข้าพกเข้าห่อเป็นการส่วนตัว จากการที่พวกเขาคบหาสร้างสายสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะน้อยนิดเพียงใดก็ตามที เป็นต้นว่า พวกผู้ประสานงาน นปช.ระดับท้องถิ่นจำนวนมากทีเดียว เกี่ยวข้องพัวพันกับการบริหารเงินทองของสถานีวิทยุชุมชน หรือไม่ก็เป็นเจ้าของรายการในสถานีวิทยุเหล่านี้ซึ่งมีลักษณะพวกใครพวกมันอย่างสูงยิ่งและก็กำลังมีอิทธิพลในระดับท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้กำลังพยายามอาศัยตำแหน่งที่ทางในปัจจุบันของพวกเขาเป็นขั้นบันไดในการกระโจนเข้าสู่การเมืองกระแสหลัก
เซธ เคน เป็นนักวิจัยรับเชิญ ณ สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)
Colors bleed ahead of Thai polls
By Seth Kane
14/06/2011
ประดาอุปสรรคสิ่งกีดขวางการขึ้นครองอำนาจของพรรคเพื่อไทยที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ตลอดจนการขึ้นครองอำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของเขาซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากพรรคนี้ให้เป็นนายกรัฐมนตรี) ต่างกำลังล้มครืนลงมาเป็นแถบๆ ก่อนหน้าการเลือกตั้งของประเทศไทยในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ โดยที่ทั้งกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านอย่างสุดโต่งต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ล้วนกำลังเกิดการแตกร้าวแยกตัว อย่างไรก็ดี ความเป็นผู้เผด็จการเบ็ดเสร็จและอดีตอันเต็มไปด้วยคำถามของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่จะกลับมาหลอกหลอน
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *
อุบลราชธานี และ กรุงเทพฯ – ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนเข้าเกียร์สูงมุ่งสู่การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม แต่ไม่ว่าผลการลงคะแนนเสียงจะออกมาอย่างไร ก็มีเค้าลางที่จะเกิดการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนภายหลังการเลือกตั้ง โดยที่การประท้วงเหล่านี้มีศักยภาพที่จะเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพขึ้นมา ภายหลังระยะเวลา 6 ปีแห่งความปั่นป่วนยุ่งเหยิงอันเกิดจากแรงขับดันของการชุมนุมประท้วง จนทำให้การแตกแยกแบ่งขั้วทางการเมืองของไทยเป็นไปอย่างเข้มข้น มาถึงเวลานี้ขบวนการประท้วงคัดค้านทั้งฝ่าย “เสื้อแดง” และฝ่าย “เสื้อเหลือง” ต่างก็กำลังเผชิญกับภูมิทัศน์ทางการเมืองที่แปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว สภาพการณ์ที่ไม่เหมือนเก่าอีกแล้วเช่นนี้กำลังสร้างความท้าทายใหม่ๆ ต่อความสามัคคีเป็นเอกภาพ, อิทธิพลบารมี, ตลอดจนความเหมาะสมสอดคล้องที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปของทั้ง 2 ฝ่ายนี้
กลุ่มเสื้อเหลือง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พันธมิตรฯ) เริ่มเคลื่อนไหวอย่างคึกคักมีชีวิตชีวาครั้งแรกในปี 2005 กลุ่มนี้ได้แผ้วถางทางให้ฝ่ายทหารก่อการรัฐประหารยึดอำนาจซึ่งโค่นล้มนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงจากตำแหน่งในเดือนกันยายน 2006 การประท้วงของพันธมิตรฯในเวลาต่อมายังเป็นชนวนก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องจนไปสู่กระบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” ในปี 2008 ที่ทำให้รัฐบาล 2 ชุดของ 2 พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายสนับสนุนทักษิณต้องล้มคว่ำไป และกลายเป็นแรงดีดนำพาพรรคประชาธิปัตย์ของนายกรัฐมนตรีรักษาการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นสู่อำนาจ
อย่างไรก็ตาม นับแต่ที่นายอภิสิทธิ์ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ขบวนการเสื้อเหลืองก็อยู่ในอาการโซซัดโซเซ โดยประจักษ์พยานที่ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คือจำนวนน้อยนิดของผู้สนับสนุน ณ สถานที่ชุมนุมประท้วงในขณะนี้ของพวกเขาตรงบริเวณด้านนอกทำเนียบรัฐบาล คำปราศรัยปลุกระดมทำศึกที่ครั้งหนึ่งเคยแกร่งกล้าทรงพลังยิ่งของกลุ่มเสื้อเหลืองได้ถูกกัดเซาะบ่อนทำลายลงด้วยปัจจัยหลายๆ ประการ เป็นต้นว่า การแตกแยกในระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่แข่งขันช่วงชิงกันเอง, นโยบายและจุดยืนที่ไม่แน่ไม่นอน, ตลอดจนความแตกต่างในทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มต่างๆ ซึ่งเคยถูกซุกซ่อนมองข้ามกันไปในระยะปี 2006 และปี 2008 โดยที่ในช่วงเวลานั้น ความพยายามรณรงค์โค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดจนเหล่ารัฐบาลที่สนับสนุนเขา ยังคงเป็นเป้าหมายที่สามารถประคับประคองความสามัคคีเป็นเอกภาพกันของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้เอาไว้ได้
กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ดังกล่าวที่ครั้งหนึ่งเคยยินดีพร้อมใจที่จะอยู่ภายใต้ร่มธงเดียวกันนั้น มีทั้งพวกรอยัลลิสต์ (royalist) ที่มอง พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์, บรรดาผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ผู้เชื่อว่าไม่สามารถเอาชนะแนวร่วมทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ด้วยการต่อสู้ในการชักชักผู้หย่อนบัตรลงคะแนน, พวกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจที่ถูกคุกคามโดยแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ, กลุ่มธุรกิจใหญ่ที่กังวลกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้จัดทำข้อตกลงการค้าเสรีกับชาติต่างๆ ตลอดจนทำให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินกลายเป็นเรื่องการเมืองไปหมด, เหล่านักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่รู้สึกถึงอันตรายจากความโน้มเอียงไปสู่การเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จของ พ.ต.ท.ทักษิณ, กลุ่มชาวพุทธที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณเนื่องจากมองว่าเขาโลภโมโทสันเต็มไปด้วยกิเลส, และบรรดาชนชั้นกลางซึ่งไม่พอใจการทุจริตคอร์รัปชั่นตลอดจนนโยบายประชานิยมต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ในเวลานั้น กลุ่มเสื้อเหลืองได้รับความสนับสนุนอย่างสำคัญมากจากพวกระดับสูงทั้งในกองทัพ, ฝ่ายยุติธรรม, ระบบราชการ ทั้งนี้บุคคลระดับดังกล่าวมีความเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่จงรักภักดี รวมทั้งยังมุ่งมั่นส่งเสริมพันธมิตรทางการเมืองและทางธุรกิจของเขาเองที่อยู่ในสถาบันเหล่านี้จำนวนมาก และภาวะเช่นนี้คือการคุกคามสั่นคลอนระบบระเบียบทางการเมืองที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิม อย่างไรก็ดี ในการดำเนินกระบวนการขับไล่ไสส่ง พ.ต.ท.ทักษิณให้ตกลงจากอำนาจ ไปจนถึงระยะเวลาร่วม 2 ปีของคณะรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่ากลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ มีแนวทางที่แตกต่างกันไปและเกิดการแยกห่างกันออกไปมากขึ้นๆ
หลายๆ กลุ่มมองว่าการนำเอาสัญลักษณ์สถาบันมาอยู่ตรงแถวหน้าของการประท้วงทางการเมืองที่มีลักษณะแบ่งฝ่ายแบ่งขั้วนั้น ในที่สุดแล้วจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ส่วนพวกผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกผลักไสออกมาโดยมติของแกนนำเสื้อเหลืองที่หันมาคัดค้านนายอภิสิทธิ์และพรรคนี้เนื่องจากประเด็นปัญหาชายแดนกัมพูชา ขณะเดียวกัน เหล่าผู้นำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ได้ผละออกจากกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อไม่นานมานี้ โดยพูดกล่าวหาอย่างเปิดเผยว่า ขบวนการนี้รับใช้ผลประโยชน์ของแกนนำพันธมิตรฯบางคนเท่านั้น
กลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ ก็เช่นกัน มาถึงเวลานี้พวกเขารู้สึกถูกคุกคามน้อยลงไปแล้ว จากอาณาจักรธุรกิจที่หดเล็กลงและกระจัดกระจายไปมากแล้วของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับพวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและองค์กรนอกภาครัฐบาล (เอ็นจีโอ) ได้ทอดทิ้งกลุ่มพันธมิตรฯไปภายหลังที่ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ และคณะรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยฝ่ายทหารได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายที่ริดลอนสิทธิต่างๆ และให้อำนาจบังคับแก่ภาครัฐอย่างเข้มงวดเกินเหตุ ตลอดจนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาความเป็นประชาธิปไตยลดน้อยลง
ความพยายามของกลุ่มพันธมิตรฯที่จะหลอมรวมขบวนการชุมนุมต่อสู้ตามท้องถนนของตนให้กลายเป็นพรรคการเมืองขึ้นมา ต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะที่พรรคการเมืองนี้เองก็พ่ายแพ้ไม่ได้ที่นั่งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น พวกที่หนุนหลังพรรคนี้ตั้งแต่เริ่มแรกจำนวนมากทีเดียวในที่สุดแล้วก็ได้แตกหักกับแกนนำพันธมิตรฯ ในประเด็นที่ว่าจะลงแข่งขันในการเลือกตั้งระดับชาติคราวนี้หรือไม่ โดยที่แกนนำพันธมิตรฯกำลังรณรงค์ให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งด้วยการโหวตโน และมีการเรียกร้องให้ระงับใช้ประชาธิปไตยไว้ชั่วคราวสัก 3 ถึง 5 ปี เพื่อ “ชำระล้าง” การเมืองไทยให้ปลอดจากเหล่านักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น
ก่อนหน้านั้นไปอีก พวกชนชั้นกลางรู้สึกขัดแย้งสับสน กับยุทธวิธีต่อสู้ของกลุ่มเสื้อเหลืองที่ดูจะมีลักษณะสุดโต่งมากขึ้น เป็นต้นว่า การเข้ายึดท่าอากาศยานระหว่างประเทศของกรุงเทพฯในปี 2008 เช่นเดียวกันชนชั้นกลางเหล่านี้ก็เกิดความขัดแย้งสับสนต่อคณะรัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีการจับมือนำเอาพวกที่ถูกมองว่าเป็นพวกทุจริตคอร์รัปชั่นของคณะรัฐบาลทักษิณชุดก่อนๆ เข้ามาร่วมครองอำนาจด้วย
แน่นอนทีเดียวว่า ภายในกองทัพ, ฝ่ายยุติธรรม, และระบบราชการ ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านทักษิณอย่างเข้มข้นแรงกล้า แต่หลังจากการประท้วงของพวกเสื้อแดงอย่างนองเลือดจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในปีที่แล้ว ซึ่งได้ผลักดันประเทศถอยไปจนถึงขอบเหว และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องการเข้าไปแทรกแซงในลักษณะต่อต้านประชาธิปไตย ตลอดจนการประสบความล้มเหลวในเชิงนโยบาย ด้วยเหตุนี้เอง มาถึงเวลานี้จึงดูเหมือนจะเกิดบรรยากาศของความมุ่งมั่นมากขึ้น ที่จะยอมประนีประนอมกับกลไกทางการเมืองที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอย่างไรเสียก็มีความอ่อนแอลงไปกว่าเดิมแล้ว
ทางด้านพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงแม้ผลโพลหยั่งเสียงประชามติหลายๆ สำนักชี้ว่ากำลังเป็นตัวเก็งที่จะชนะได้ที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนี้ แต่ฝ่ายนี้ก็กำลังปรากฏสัญญาณให้เห็นหลายๆ ประการว่าเกิดการแตกร้าวทำนองเดียวกับฝ่ายเสื้อเหลืองเช่นกัน ขณะที่การหวนกลับมาอีกคำรบหนึ่งของคณะรัฐบาลที่เป็นฝ่ายสนับสนุนทักษิณ น่าจะสร้างความคึกคักกระปรี้กระเปร่าในระดับหนี่งให้แก่ขบวนการฝ่ายเสื้อแดงที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ขบวนการนี้ก็ไม่น่าที่จะผงาดยืนหยัดโดดเด่นอีกครั้ง เหมือนกับที่เคยทำได้ในระหว่างการประท้วงนองเลือดอันนำไปสู่ความสูญเสียอ่อนกำลังเมื่อปีที่แล้ว
สัญญาณสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า นปช.เกิดความแตกแยกกันนั้น อาจจะมีความชัดเจนน้อยกว่าในกลุ่มพันธมิตรฯ แต่กระนั้นก็มีรอยร้าวฉกรรจ์ๆ, ความแตกต่างกันในเรื่องยุทธศาสตร์ และความขัดแย้งช่วงชิงกันภายใน ซึ่งอาจจะทำให้ขบวนการนี้เกิดการแตกแยกและถดถอยหดตัวลงในทำนองเดียวกัน พวกเสื้อแดงบางส่วนนั้นมีแรงจูงใจสำคัญที่สุดอยู่ที่บรรดาคุณค่าทางด้านประชาธิปไตยทั้งหลาย และหลายๆ คนทีเดียวได้เคยเข้าร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในอดีตมาแล้ว
ขณะที่เห็นในอย่างชัดเจนว่า คนอื่นๆ จำนวนมาก กลับสาละวนสนใจอยู่แต่กับผลประโยชน์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่พวกเขาสามารถสะสมพอกพูนเข้าพกเข้าห่อเป็นการส่วนตัว จากการที่พวกเขาคบหาสร้างสายสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะน้อยนิดเพียงใดก็ตามที เป็นต้นว่า พวกผู้ประสานงาน นปช.ระดับท้องถิ่นจำนวนมากทีเดียว เกี่ยวข้องพัวพันกับการบริหารเงินทองของสถานีวิทยุชุมชน หรือไม่ก็เป็นเจ้าของรายการในสถานีวิทยุเหล่านี้ซึ่งมีลักษณะพวกใครพวกมันอย่างสูงยิ่งและก็กำลังมีอิทธิพลในระดับท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้กำลังพยายามอาศัยตำแหน่งที่ทางในปัจจุบันของพวกเขาเป็นขั้นบันไดในการกระโจนเข้าสู่การเมืองกระแสหลัก
เซธ เคน เป็นนักวิจัยรับเชิญ ณ สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)