เอเจนซี - การปราศรัยหาเสียงของฝ่ายค้านในสิงคโปร์ขณะนี้ สามารถเรียกระดมประชาชนให้มาเข้าร่วมฟังได้เป็นหมื่นๆ คน ถือเป็นการท้าทายต่อต้านพรรคพีเพิลส์ แอคชั่น ปาร์ตี้ (พีเอพี) ที่ครองอำนาจปกครองประเทศมานมนาน ขณะที่ชาติเอเชียซึ่งร่ำรวยที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดรายนี้กำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา
การวิพากษ์โจมตีรัฐบาลในที่ปราศรัยหาเสียงเหล่านี้ ตลอดจนการโห่การฮาของผู้ฟัง นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างยิ่งในรัฐที่โดยปกติแล้วเสรีภาพทางการเมืองจะถูกจำกัดลิดรอนแห่งนี้
ยังไม่มีใครถึงขั้นกำลังบ่งบอกว่าสิงคโปร์ หนึ่งในศูนย์กลางทางการค้า, ธุรกิจ, และการธนาคารใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังบ่ายหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในการเลือกตั้งวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ ทว่าพรรคพีเอพี ซึ่งชนะอย่างถล่มทลายทุกๆ ครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปทั้ง 10 ครั้งก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังไม่ได้ปล่อยเก้าอี้ ส.ส.ตกหล่นไปเลยแม้แต่ตัวเดียวจวบจนกระทั่งถึงปี 1981 อาจจะได้รับเปอร์เซ็นต์เสียงโหวตลดน้อยลงไปในคราวนี้
“ผมคิดว่าภาพสมมุติสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือ การที่ (ฝ่ายค้าน) ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แต่คงจะไม่ก้าวหน้าอะไรนักในแง่ของจำนวนเก้าอี้ ส.ส. เพราะสิงคโปร์ใช้ระบบเลือกตั้งที่ใครมีคะแนนมากกว่าก็ได้เก้าอี้ไปเลย (ไม่ใช่ระบบสัดส่วน)” แกร์รี โรดัน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเมอร์ด็อค ในออสเตรเลีย ซึ่งมีงานเขียนเกี่ยวกับการเมืองสิงคโปร์ กล่าวให้ความเห็น
“จากทัศนะมุมมองของฝ่ายค้านแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาดูจะคิดว่า มีพวกที่ไม่ชอบใจจำนวนมากทีเดียว ที่พวกเขาสามารถหาทางนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มากกว่าที่เคยทำได้ในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ และผมคิดว่าทางฝ่ายรัฐบาลก็ดูเหมือนจะรู้สึกหวั่นใจเพิ่มมากขึ้นนิดหน่อยเกี่ยวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นมา”
ในการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2006 พรรคพีเอพีได้คะแนนเสียงไปประมาณ 67% และปล่อยเก้าอี้ ส.ส.หลุดให้ฝ่ายค้านได้ครอง 2 ตัว จากที่มีอยู่ทั้งหมด 84 ตัว ทั้งนี้มีเก้าอี้ ส.ส.เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีการแข่งขันกัน สืบเนื่องจากฝ่ายค้านอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวัง จึงไม่ส่งผู้สมัครเข้าชิงชัยด้วยในเขตเลือกตั้งจำนวนมาก
แต่การเลือกตั้งคราวนี้ ฝ่ายค้านกำลังลงแข่งขันชิงเก้าอี้ ส.ส. 82 ตัวจากทั้งหมด 87 ตัว นับเป็นการส่งลงชิงชัยสูงที่สุด นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถเอาชนะความแตกแยกภายในของพวกเขาเองด้วย โดยในการแข่งขันแทบทั้งหมด เป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้สมัครของพีเอพีกับฝ่ายค้านเพียงหนึ่งเดียว จะมียกเว้นก็เฉพาะเก้าอี้ ส.ส.ตัวเดียวเท่านั้น ที่มีผู้สมัครของฝ่ายค้านหลายคนลงแข่ง
เขตเลือกตั้งเดียวที่ผู้สมัครพรรคพีเอพีชนะไปเลยโดยไม่มีคู่แข่ง คือเขตซึ่งมีเก้าอี้ ส.ส.รวม 5 ตัว และหัวหน้าทีมผู้สมัครของฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ ลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถือเป็นบิดาของประเทศสิงคโปร์ และก็เป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ของสิงคโปร์คนปัจจุบันด้วย
ผู้นำอาวุโสวัย 87 ปีผู้นี้มีความเห็นว่า สิงคโปร์ไม่จำเป็นจะต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็งอะไรเลย
“จากปี 1966 ถึง 1981 ไม่มี ส.ส.ฝ่ายค้านแม้แต่คนเดียว แต่พรรคพีเอพีก็ยังคงเป็นพรรคที่ไร้คอร์รัปชั่น ยังคงอุทิศตนอย่างสมบูรณ์ให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ โดยที่ได้สร้างความก้าวหน้าอย่างมากมาย และนำพาสิงคโปร์ขึ้นสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ที่นำออกเผยแพร่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อถูกถามว่า ประชาชนไม่ใช่ต้องการให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลมากขึ้นหรือ ลีก็ตอบว่า “มันก็มีแต่คนรุ่นที่ยังปราศจากความผูกมัดหรือความรับผิดชอบอะไรเท่านั้น เป็นคนรุ่นที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ในอดีต และเชื่อว่าสิงคโปร์กำลังบินอย่างปลอดภัย และสามารถบินต่อไปได้โดยใช้ระบบนักบินอัตโนมัติ และไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาเทคโอเวอร์ได้
“ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อความคิดเห็นเช่นนี้ ผมคิดว่าเราจะต้องเผชิญกับอากาศเลวร้ายทุกๆ ชนิดเลย และดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องได้คนที่มีความสามารถมาเป็นผู้รับผิดชอบ”
เขตเลือกตั้งไหนก็ตามที่เลือกฝ่ายค้าน จะมี “เวลาถึง 5 ปีที่จะรู้สึกสำนึกเสียใจ” เขาขู่
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในการปราศรัยหาเสียงของฝ่ายค้านเวลานี้ สามารถพบเห็นบรรยากาศความไม่พอใจเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง, การที่สัดส่วนของคนทำงานที่เป็นต่างชาติในนครรัฐแห่งนี้กำลังเพิ่มขึ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลทั้งในเรื่องการแข่งขันหางานทำ, การแข่งขันในด้านการศึกษา, ตลอดจนทำให้ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูง
“สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงไป ก็คือ ส่วนประกอบทางด้านประชากรซึ่งมีคนต่างชาติมากเกินไปแล้ว” นูไรนี มาลิก นักวิเคราะห์ด้านการวิจัยผู้บริโภควัย 22 ปีให้ความเห็น เขาเป็น 1 ในบรรดาผู้คนราว 15,000 คนที่เข้าร่วมฟังการปราศรัยหาเสียงครั้งหนึ่งของฝ่ายค้านเมื่อเร็วๆ นี้
“ผมมีความรู้สึกว่า ความสำนึกในเรื่องการเป็นชาวสิงคโปร์กำลังถูกทำให้เจือจางลงอย่างมากๆ”