กองกำลังยูเอ็น-ฝรั่งเศสยิงถล่มรัง “จีบักโบ” ในโกตดิวัวร์

เอเอฟพี - เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพฝรั่งเศสและองค์การสหประชาชาติเปิดฉากยิงถล่มทำเนียบประธานาธิบดีโกตดิวัวร์(ไอเวอรีโคสต์) ซึ่งเป็นที่พักของประธานาธิบดี โลรองต์ จีบักโบ วานนี้ (4) ขณะที่ อลาสซาเน ออตตารา ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ก็เร่งกดดันทุกวิถีทางเพื่อให้ จีบักโบ ยอมสละอำนาจ



กองกำลังสหประชาชาติและฝรั่งเศสพุ่งเป้าโจมตีไปที่ทำเนียบประธานาธิบดี, บ้านพักของ จีบักโบ และฐานทัพในเมืองอาบีจาน เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ ออตตารา ตัดสินใจใช้มาตรการขั้นรุนแรง เพื่อยุติข้อพิพาทเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน

“การโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อยึดทำเนียบและบ้านพักประธานาธิบดี จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และคาดว่าจะสำเร็จภายในคืนนี้” ซิดิกี โคนาเต โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี กีย์โยม โซโร ในรัฐบาลของ ออตตารา ระบุ

ปฏิบัติการร่วมระหว่างกองกำลังสหประชาชาติในโกตดิวัวร์(ยูเอ็นโอซีไอ) และกองกำลังลิกอร์น (Licorne) ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาณานิคมของโกตดิวัวร์ มีเป้าหมายเพื่อโจมตีฐานที่มั่นทุกจุดของจีบักโบ โดยเป็นไปตามมติขององค์การสหประชาชาติเลขที่ 1975 ที่นำมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา

มติดังกล่าวกำหนดให้คว่ำบาตรจีบักโบ และให้กองกำลังยูเอ็นเข้ามาปกป้องพลเรือน รวมถึงห้ามรัฐบาลใช้อาวุธหนักทำร้ายประชาชน

“ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องประชาชน โดยนำอาวุธหนักที่หน่วยรบพิเศษของ จีบักโบ ใช้ทำร้ายประชาชนและกองกำลังรักษาสันติภาพออกไปให้พ้น” ฮามาดูน ตูเร โฆษก ยูเอ็นโอซีไอ กล่าว

บัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า ทหารของจีบักโบโจมตีประชาชนอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นด้วยปืนครก, ปืนกล รวมถึงจรวดอาร์พีจี ทั้งยังโจมตีศูนย์บัญชาการยูเอ็นโอซีไอ ในเมืองอาบีจานด้วยหน่วยแม่นปืน, ปืนครก และอาร์พีจี จนมีทหารกองกำลังรักษาสันติภาพเสียชีวิต 4 นาย

อย่างไรก็ตาม บันย้ำว่ากองกำลังรักษาสันติภาพทั้ง 11,000 นายไม่ได้รับคำสั่งให้ช่วยโค่นล้ม จีบักโบ แต่อย่างใด

ตูสแซง อแลง ที่ปรึกษาของจีบักโบในกรุงปารีส กล่าวว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และอาจเข้าข่าย “พยายามลอบสังหาร” จีบักโบ

ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า จีบักโบควรเคารพการตัดสินใจของประชาชน และหยุดยื้อตำแหน่งประธานาธิบดีเสียที

ชาวต่างชาติประมาณ 1,900 คนในเมืองอาบีจานยังอยู่ในความคุ้มครองของทหารฝรั่งเศส ส่วนอีก 447 คนเดินทางออกจากโกตดิวัวร์แล้ว