เอเจนซี - อังกฤษขับเจ้าหน้าที่ทูต 5 คนของลิเบียเพื่อประท้วงพฤติกรรมของรัฐบาลโมอัมมาร์ กัดดาฟีและอ้างว่าเพราะพวกเขาเหล่านั้นอาจเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ
วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษบอกกับรัฐสภาเมื่อวันพุธ(30) ว่า "เพื่อย้ำให้เห็นถึงความกังวลใหญ่หลวงของเราต่อพฤติกรรมของรัฐบาลลิเบีย วันนี้เราได้ขับทูต ณ สถานทูตลิเบียประจำกรุงลอนดอน 5 รายออกนอกประเทศ ในจำนวนนั้นรวมไปถึงผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร"
"รัฐบาลพิจารณาแล้วว่าหากบุคคลเหล่านี้ยังคงอยู่ในอังกฤษ พวกเขาอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของเรา" เฮกกล่าว ขณะที่แหล่งข่าวรัฐบาลเปิดเผยว่าผู้แทนทูตเหล่านั้นซึ่งเชื่อว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนกัดดาฟั มีเวลา 7 วันในการเดินทางออกจากอังกฤษ
อังกฤษเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้แทนระดับสูงของ 40 ประเทศและองค์การระหว่างประเทศเมื่อวันอังคาร(29)เพื่อกดดันให้ กัดดาฟี ลาออกและรับประกันว่าปฏิบัติการทางทหารต่อกองกำลังของผู้นำรายนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าเขาจะยอมทำตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อปกป้องพลเรือน
นับตั้งแต่การประท้วงต่อต้านระบอบการปกครองของกัดดาฟีเริ่มต้นขึ้น อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นหัวหอกของนานาชาติในปฏิบัติการกำหนดเขตห้ามบินในลิเบีย และ ณ ที่ประชุมในกรุงลอนดอนวันอังคาร(29) มหาอำนาจบางประเทศเริ่มตรึกตรองถึงมาตรการสนับสนุนด้านอาวุธแก่นักรบฝ่ายกบฏ แม้ว่า อังกฤษและสหรัฐฯ บอกว่ายังไม่ตัดสินใจในเรื่องนี้
ในวันพุธ(30) ดาวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็ย้ำถึงแนวทางนี้ พร้อมระบุว่ามติที่ 1973 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็น อนุญาตให้ใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องพลเรือน
อังกฤษ สหรัฐฯและกาตาร์ ยังเสนอแนะในที่ประชุมด้วยว่า นานาชาติควรเปิดทางให้กัดดาฟี พร้อมด้วยครอบครัวของเขา สามารถลี้ภัยยังต่างประเทศได้ หากพวกเขายอมรับคำขาดจากประชาคมโลกให้รีบยุติเหตุนองเลือดในประเทศที่ดำเนินมานาน 6 สัปดาห์นี้
เฮก แถลงต่อว่าคณะทูตของอังกฤษ ซึ่งนำโดยทูตระดับอาวุโส คริสโตเฟอร์ เพรนทริซ ได้เดินทางไปเยือนเมืองเบนซากี ป้อมปราการสำคัญของฝ่ายกบฏในวันจันทร์(28)และวันอังคาร(29)พร้อมกับได้พบปะกับแกนนำกลุ่มฝ่านต่อต้านรัฐบาลหลายคน ในจำนวนนั้นรวมไปถึงมุสตาฟา อัลเดล จาลิล ประธานสภาแห่งชาติลิเบียของฝ่ายกบฏ
แต่เขาบอกว่าการมอบอาวุธใหม่เข้าสู่ความขัดแย้งนี้อาจก่อผลสะท้อนที่มิอาจคาดการณ์ได้ล่วงหน้าและไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา พร้อมระบุว่าการตัดสินใจต่างๆควรเป็นไปอย่างรอบคอบที่สุดก่อนที่รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงนโยบายในเรื่องนี้