เอเจนซี - ฟิลิปปินส์พบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี 143 ราย ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ของประเทศ ขณะที่รัฐมนตรีสาธารณสุขหญิง ระบุ จะต้องหาเงินทุนเพื่อแจกจ่ายถุงยางอนามัยให้แก่กลุ่มเสี่ยงมากขึ้น
เอสเปอแรนซา คาบรอล รัฐมนตรีสาธารณสุขของฟิลิปปินส์ เผยว่า จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสสาเหตุของโรคเอดส์ 143 รายนี้ ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการพบครั้งแรกในประเทศเมื่อปี 1984
คาบรอล ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2009 พบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีโดยเฉลี่ยเดือนละ 60 คน แต่ตัวเลขดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นเป็น 126 ราย ในเดือนธันวาคม และถ้ายังคงอัตราเพิ่มขึ้นเช่นนี้ต่อไป อีก 3 ปี ฟิลิปปินส์จะต้องมีผู้ป่วยโรคเอดส์มากกว่า 30,000 คนทีเดียว
สำหรับผู้ป่วยในเดือนมกราคมส่วนใหญ่เป็นชายที่ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน โดยกลุ่มอายุที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือระหว่าง 25-29 ปี กระทรวงสาธารณสุขแถลง
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์มีรายงานจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี 4,424 รายนับตั้งแต่ปี 1984 โดยในจำนวนนั้น 832 ราย เชื้อได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น รวมทั้งมีผู้เสียชีวิต 314 ราย จากตัวเลขของทางรัฐบาล
ขณะที่ความพยายามของเธอในการสนับสนุนให้คนใช้ถุงยางอนามัยกลับสร้างความไม่พอใจให้กับบิชอปโรมันคาทอลิกหัวอนุรักษ์ ที่คัดค้านการคุมกำเนิด โดยยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล และศาสนจักร ที่สั่นคลอนอยู่แล้วให้ยิ่งเลวร้ายลง
“ฉันจะแจกจ่ายถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักถึงการป้องกันเชื้อเอชไอวี/เอดส์ต่อไป” คาบรอล กล่าว โดยเสริมว่า เธอจะขอเงินทุนจากรัฐบาลซื้อถุงยางอนามัย เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันโรคมากกว่าที่จะใช้เป็นเครื่องมือคุมกำเนิด
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ระงับการให้เงินทุนสำหรับถุงยางอนามัย เนื่องจากแรงกดดันจากศาสนจักร โดยคณะบิชอปได้ช่วยฝ่ายค้านขัดขวางการออกกฎหมาย ที่สนับสนุนการศึกษาเรื่องเพศ และการคุมกำเนิด
