“ซัมมิตอาเซียน” เริ่มวันนี้ เน้น “บูรณาการ” รับมือวิกฤต ศก.

เอเอฟพี - บรรดานักการทูตและนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า การประชุมสุดยอดของผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน และประเทศคู่เจรจาต่างๆ ที่หัวหิน ช่วงสุดสัปดาห์นี้ บรรดาผู้นำเอเชียเหล่านี้จะหารือกันถึงหนทางเพิ่มความผูกพันทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อธำรงรักษาภาวะฟื้นจากจากเศรษฐกิจโลกถดถอยเอาไว้ให้ได้อย่างยั่งยืน

การหารือในระดับผู้นำประจำปีของ 10 ชาติสมาชิกอาเซียน และจากนั้นก็ตามมาด้วยการประชุมกับผู้นำของพวกประเทศคู่เจรจา อันได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ เริ่มเปิดฉากในวันนี้ (23) ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

เป็นที่คาดหมายกันว่า การที่เอเชียฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ จะปูพื้นสร้างบรรยากาศสำหรับการที่ผู้นำเอเชียเหล่านี้จะพูดคุยกันถึงเรื่องการเปิดให้การค้า การลงทุน และผู้คน สามารถเคลื่อนย้ายไปมาทั่วภูมิภาคได้อย่างเสรีมากยิ่งขึ้น

“เอเชียจะก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก หลังจากที่ฝุ่นควันอันคลุ้งขึ้นมาจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจสงบลงแล้ว” เจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงผู้หนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวกับเอเอฟพี

“การบูรณาการกัน คือ กุญแจสำคัญที่สุดที่จะปลดล็อกและปลดปล่อยศักยภาพของเอเชียออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้น การฟื้นตัวเป็นสิ่งที่เราจะต้องประคับประคองเอาไว้ให้สามารถดำเนินต่อเนื่องไปในระยะยาวให้ได้ ดังนั้น จึงต้องเร่งกำหนดนโยบายให้ถูกต้องโดยเร็ว”

ขณะที่ บริดเจต เวลช์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ มองว่า กฎบัตรอาเซียนที่เพิ่งผ่านการรับรองให้สัตยาบันมาใหม่ๆ “จะทำให้สมาชิกต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อความก้าวหน้าของการบูรณาการกันทางเศรษฐกิจ” เขาชี้ว่า การบูรณาการดังกล่าวนี้ “เป็นหนทางหนึ่งที่จะปกป้องจุดอ่อนของอาเซียนในเวลาเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจต่างๆ ในโลกระดับโลก”

ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญที่สุดแห่งการบูรณาการเช่นว่า ได้แก่ การทำให้อาเซียนกลายเป็นตลาดและฐานการผลิตทางอุตสาหกรรมที่เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ภายในปี 2015 และการขยายการค้าและการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอื่นๆ ให้ครอบคลุมถึงคู่ค้าสำคัญๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะจีนและอินเดีย

เลขาธิการอาเซียน สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวอย่างมองโลกในแง่ดีเมื่อวันพุธ (21) ว่า “อาเซียนกำลังเดินหน้าไปด้วยดีสู่การบูรณาการเข้าเป็นประชาคมระดับภูมิภาคหนึ่งเดียวภายในปี 2015 ซึ่งเป็นไปตามกฎบัตรอาเซียน”

เขาชี้ด้วยว่า เพียงรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกของทั่วทั้งอาเซียนได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวเป็น 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับ 576,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การค้าภายในภูมิภาคแห่งนี้ซึ่งมีประชากรรวมกันเกือบ 600 ล้านคน ยังสามารถขยายตัวได้เร็วกว่านั้นอีก คือเพิ่มเป็น 4 เท่าตัว

ขณะเดียวกัน การค้าของอาเซียนกับญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ก็เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว ส่วนการค้ากับจีนและออสเตรเลียขยายลิ่วเป็น 10 เท่าตัว และการค้ากับอินเดียเพิ่มเป็น 6 เท่าตัว

ทางด้าน จอร์จ เหยียว รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์สเตรตส์ไทมส์ ซึ่งนำตีพิมพ์เผยแพร่ในวันพุธ (21) ว่า ประเด็นที่ถือเป็นกุญแจสำคัญก็คือ ทำอย่างไรอาเซียนที่จะเพิ่มการเชื่อมโยงกับจีนและอินเดีย ทั้งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

“ถ้าอาเซียนเรา ในการบูรณาการพวกเราเองเข้าด้วยกันนั้น จะมีการทำให้มั่นใจได้เรายังจะเชื่อมโยงกับพวกเขาแล้ว ไม่เพียงแต่อาเซียนจะได้เชื่อมต่อกับจีนและอินเดีย แต่เรายังจะเชื่อมจีนและอินเดียเข้าด้วยกันอีกด้วย” เหยียว บอก

เขากล่าวว่า บรรดาผู้นำอาเซียนจะมอบหมายให้มีคณะทำงานชุดหนึ่ง ทำหน้าที่ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการขยายการเชื่อมโยงดังกล่าวต่อไป

นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว นักการทูตหลายราย ชี้ว่า ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมก็จะเป็นหัวข้อสำคัญของการประชุมหารือคราวนี้ คาดว่า ผู้นำอาเซียนจะออกคำแถลงสนับสนุนการเจรจาระดับโลกที่กรุงโคเปนเฮเกน ในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อทำข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก

ยิ่งกว่านั้น คาดหมายกันว่า อาเซียนและประเทศคู่เจรจายังจะออกคำแถลงว่าด้วยความร่วมมือกันด้านความมั่นคงทางอาหาร ตลอดจนว่าด้วยการจัดการรับมือภัยพิบัติ