เอเจนซี/เอเอฟพี- ทีมนักวิจัยสหรัฐฯ เปิดเผยวันนี้ (29)โดยระบุสตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009มีความเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยขั้นรุนแรงและมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยในกลุ่มอื่น ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงแนวโน้มของสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกำลังหวั่นวิตก
ผลการศึกษาครั้งนี้ซึ่งจะลงตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ชื่อดังอย่าง "แลนเซต" ฉบับวันที่ 8 สิงหาคมนี้ จัดทำขึ้นโดยทีมนักวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ "ซีดีซี" โดยทีมวิจัยพบว่า นอกจากสตรีมีครรภ์จะมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ธรรมดามากกว่าผู้ป่วยในกลุ่มอื่นๆ แล้ว ยังถือเป็นกลุ่มที่จะได้รับอันตรายร้ายแรงและมีโอกาสเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ได้มากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นเช่นกัน
ดร.เดนิส เจมีสันแห่งซีดีซี ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำการวิจัยครั้งนี้ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่นครชิคาโก ในมลรัฐอิลลินอยส์วานนี้ (29) โดยระบุว่า ทีมวิจัยพบข้อมูลที่น่าตกใจที่บ่งชี้ว่าสตรีมีครรภ์มีอัตราเข้ารับการรักษาอาการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ในโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรกลุ่มอื่นๆ
นอกจากนั้น ดร. เจมีสัน ยังเปิดเผยว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ก็สูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นด้วยเช่นกัน โดยผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐฯ พบว่า ในจำนวนสตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อชนิดนี้ทุก 100 ราย จะมีอย่างน้อย 13 รายที่เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ดร.เจมีสันยอมรับว่า ตัวเลขดังกล่าวยังมีความผันผวนอยู่มาก เนื่องจากทีมวิจัยเก็บข้อมูลจากรายงานของซีดีซีที่ยืนยันว่ามีสตรีมีครรภ์ 6 รายจากผู้เสียชีวิตทั้งหมด 45 คน ในระหว่างวันที่ 15 เมษายน-16 มิถุนายนที่ผ่านมา
ดร.เจมีสันกล่าวว่าสตรีที่ตั้งครรภ์ทั้งหมดซึ่งเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ต่างมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงก่อนจะติดเชื้อ แต่ภายหลังจากที่ติดเชื้อแล้ว สตรีมีครรภ์เหล่านี้กลับมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มอื่น นอกจากนั้น ยังพบว่าทั้งหมดจะมีอาการปอดบวมขั้นรุนแรง และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเนื่องจากระบบทางเดินหายใจติดเชื้ออย่างรุนแรงและไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกัน ดร.เจมีสัน ยังระบุว่า จนถึงขณะนี้ทางซีดีซีได้รับรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐฯ ทั้งสิ้น 302 ราย โดยในจำนวนนี้มีอยู่ 266 คนที่ซีดีซีสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างละเอียด และพบว่ามีผู้เสียชีวิต 15 คนเป็นสตรีมีครรภ์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 6 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ดร.เจมีสันแนะนำว่า สตรีที่ตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของตนแต่อย่างใด และไม่ต้องวิตกว่าตนเองจะติดเชื้อมากเกินไปเช่นกัน เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่ยืนยันได้ว่า สตรีมีครรภ์มีโอกาสติดเชื้อชนิดนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป เพียงแต่หากติดเชื้อแล้วจะมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นเท่านั้นโดยหากสงสัยว่าติดเชื้อให้รีบเดินทางไปพบแพทย์ทันที
และหากได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อสตรีมีครรภ์ก็ควรได้รับยาต้านไวรัสโดยเร็วที่สุดภายใน 48 ชั่วโมงแรกเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุดและลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต
