เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าวโจมตีวัฒนธรรมวัตถุนิยม ซึ่งคำนึงถึงแต่ความละโมบ ความหรูหราฟุ่มเฟือย และผลประโยชน์เฉพาะหน้า ของบรรดาชนชั้นนำในภาคธุรกิจและการเงินในวอลสตรีท รวมทั้งบรรดานักการเมืองในกรุงวอชิงตัน ว่าถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับยุคของ " วิกฤตอันผิดธรรมดา" อยู่ในขณะนี้
โอบามาพูดถึงเรื่องนี้เมื่อวันพุธ (13) ที่ผ่านมา ในระหว่างร่วมพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัย แอริโซนา สเตท ซึ่งมีนักศึกษาจำนวน 9,000 คนเข้าร่วมฟัง โดยโอบามาระบุว่า สหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ทั่วโลก กำลังเผชิญหน้ากับยุคแห่งความมืดมนที่เต็มไปด้วยภยันตรายอันน่าสะพรึงกลัวมากมาย ทั้งสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ และภัยคุกคามจากโรคระบาด
ประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุว่า ชะตากรรมอันเลวร้ายที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะผลพวงจากการกระทำของบรรดาชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งยึดถือแต่วัฒนธรรมเชิงวัตถุนิยมที่ชี้วัดความสำเร็จกันด้วยค่านิยมที่ว่า "ผลประโยชน์ของตัวเองต้องมาก่อน"
โอบามากล่าวว่า " นักการเมืองสหรัฐฯ สนใจแต่การไขว่คว้าตำแหน่ง และสถานะทางการเมือง และมัวกังวลกับเรื่องคะแนนนิยมของตัวเองในการเลือกตั้งครั้งหน้า มากกว่าที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ และผลประโยชน์ของประชาชนที่เลือกตนเข้ามาเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของพวกเขา นักการเมืองทั้งหลายมักจะหลงลืมสิ่งเหล่านี้เมื่อพวกเขาได้ก้าวเข้ามายังกรุงวอชิงตัน"
เขายังวิจารณ์บรรดานักธุรกิจและนักการเงินในวอลสตรีท โดยกล่าวว่า ผู้คนในวอลสตรีทจำนวนมากมุ่งหวังแต่ผลกำไรระยะสั้นและเงินโบนัสที่ตัวเองจะได้รับ จนทำให้ตัวเองต้องติด "กับดักแห่งความสำเร็จ" จนหลงลืมแก่นแท้และภารกิจของชีวิตที่ยิ่งใหญ่มากกว่าผลพลอยได้ทางธุรกิจ และทำให้เกิดการฉ้อฉลหลอกลวงทางธุรกิจตามมาอีกมากมาย เช่นในกรณีของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ นักต้มตุ๋นทางการเงินแห่งมหานครนิวยอร์ก ผู้ก่อคดีฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ที่ได้สร้างมูลค่าความเสียหายให้กับนักลงทุนในวอลสตรีท และแม้กระทั่งกับเพื่อนสนิทมิตรสหายของตัวแมดอฟฟ์เอง เป็นจำนวนเงินสูงถึงประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
โดยโอบามาระบุว่า หนทางเดียวที่จะช่วยในการแก้ไขเยียวยาสังคมอเมริกัน ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเชิงวัตถุนิยมที่มากจนเกินความพอดีเช่นนี้ คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและสร้างรากฐานมุมมองและทัศนคติของชาวอเมริกันในด้านต่างๆ เสียใหม่ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การประกันสุขภาพ นโยบายด้านพลังงาน และการศึกษา
การกล่าวสุนทรพจน์ของโอบามา เนื่องในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแอริโซนา สเตทในครั้งนี้ ถือเป็นการกล่าวให้โอวาทต่อผู้สำเร็จการศึกษาครั้งแรก จากทั้งหมด 3 ครั้งที่โอบามาตั้งใจว่าจะทำในปีนี้ โดยในวันอาทิตย์นี้ (17) โอบามามีกำหนดการที่จะเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยนอร์ทเทรอดาม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยคาทอลิกอันมีชื่อเสียงในมลรัฐอินดีแอนาเป็นแห่งต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า ทางผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแอริโซนา สเตท ตัดสินใจที่จะไม่มอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้กับโอบามา ในโอกาสที่เขาเดินทางมากล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ โดยระบุว่า ประธานาธิบดีโอบามายังไม่มี "ผลงานที่เป็นรูปเป็นร่างให้เห็น" ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยได้ตัดสินใจมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้กับบุคคลอื่นอีกหลายคน ทั้งที่เห็นได้ชัดว่า บุคคลเหล่านั้นมีคุณสมบัติและความเหมาะสมน้อยกว่าโอบามา
อย่างไรก็ตาม โอบามาได้พยายามทำให้กระแสแห่งความขัดแย้งในเรื่องนี้เบาบางลง โดยกล่าวว่า ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรที่เพียงพอเลยในชีวิต เพราะถึงแม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็นถึงประธานาธิบดีของสหรัฐฯ แล้ว แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่เขาที่ต้องพบเจอในชีวิตนี้ พร้อมกับย้ำกับบรรดาผู้สำเร็จการศึกษาว่า ไม่ว่าคนเราจะเคยทำอะไรมามากมาย หรือเคยประสบความสำเร็จเพียงใดแล้วก็ตาม แต่คนเราก็จะต้องทำให้มากขึ้น ต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น และก็ต้องประสบความสำเร็จให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งคำพูดของโอบามาเรียกเสียงปรบมือจากผู้เข้าร่วมพิธีได้อย่างกึกก้อง