เอเอฟพี - ชาวอิรักมีความหวังมากยิ่งขึ้นกับการฟื้นฟูปรับปรุงประเทศ และกังวลเกี่ยวกับเหตุรุนแรงน้อยลงมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามของสหรัฐฯในปี 2003 ได้ทำให้ประเทศของพวกเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ
ตามการผลสำรวจที่ทำขึ้นร่วมกันระหว่างสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ เอบีซีนิวส์ ของสหรัฐฯ และเอ็นเอชเคของญี่ปุ่น เผยว่า ชาวอิรักที่ตอบแบบสำรวจ 85 เปอร์เซ็นต์ มองว่า สถานการณ์ความมั่นคงปลอดภัยอยู่ในสภาวะดีมาก หรือค่อนข้างดี ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นจากการสำรวจเมือปีที่แล้วที่ 23 เปอร์เซ็นต์
โดยมากกว่าครึ่งเล็กน้อย คือ 52 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า ความมั่นคงและปลอดภัยเริ่มดีขึ้นในตลอดปีที่แล้วที่ผ่านมา ขณะที่มีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่า สถานการณ์ย่ำแย่ลง ขณะที่ 60 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า พวกเขารู้สึกปลอดภัยภายในพื้นที่บ้านใกล้เรือนเคียงของพวกเขา
ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า การมีไฟฟ้าและนำมันใช้เพิ่มสูงขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 37 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า พวกเขารู้สึกไว้ใจว่าจะมีไฟฟ้าใช้ ซึ่งเป็นตัวเลขทีเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว 25 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ 67 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า การมีเชื้อเพลิงใช้สำหรับทำอาหารหรือขับรถเป็นสิ่งที่ดีมากหรือค่อนข้างดีมาก นับว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 48 เปอร์เซ็นต์
ผลการสำรวจนี้ดูมีแนวโน้มว่าจะเสริมกำลังใจแก่บรรดาผู้กำหนดนโยบายในสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเตรียมแผนการถอนทหารบางส่วนออกจากเมืองต่างๆ ของอิรักในเดือนมิถุนายนนี้ ขณะที่คาดว่าจะถอนทหารทั้งหมดภายในสิ้นปี 2011
ปัจจุบันมีทหารสหรัฐฯประจำการในอิรัก 140,000 คน ลดลงจากยอดสูงสุดที่ 160, 000 คนระหว่างปี 2007 ซึ่งเป็นช่วงการเปิดฉากโจมตีต่อต้านเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์อย่างรุนแรง
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯได้สังยุติการสู้รบของทหารสหรัฐฯภายใน 31 สิงหาคม ปีหน้า แต่ระบุว่า ทหาร 50,000 คนจะไปประจำการกับภารกิจฟื้นฟูอิรักจนกระทั่งปี 2011
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยในอิรักจะพัฒนาขึ้นนับตั้งแต่เกิดเหตุรุนแรงระหว่างกลุ่มต่างศาสนาชาวชีอะห์และสุหนี่ซึ่งถึงจุดรุนแรงที่สุดในปี 2007 การโจมตีด้วยระเบิดต่างๆ ยังเกิดขึ้นแบบรายวันทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี นูรี อัลมาลิคี ได้เรียกร้องให้ชาวอิรักทั้งหมดรวมตัวกันเป็นหนึ่งลงเรือที่เขาเรียกว่า “เรือรัก” ด้วยกัน เพื่อความปรองดองของชาติ