เอเอฟพี – ผู้นำของ 2 พรรคการเมืองอิสราเอล ต่างแข่งกันประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจัดขึ้นในวันอังคาร (10) โดยพรรคสายกลาง “คาดิมา” ของรัฐมนตรีต่างประเทศหญิง ซิปี ลิฟนี ได้ที่นั่งในสภาไป 28 ที่นั่ง ส่วนพรรคฝ่ายขวา “ลิคุด” ของอดีตนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้ 27 ที่นั่ง ทำให้รัฐยิวแห่งนี้ตกอยู่ในสภาพที่มีหวังจะต้องมีการต่อสู้ชิงอำนาจทางการเมืองกันอย่างยืดเยื้อ
“วันนี้ประชาชนได้เลือกพรรคคาดิมาแล้ว” ลิฟนี กล่าวกับผู้สนับสนุนพรรคคาดิมา ที่เมืองเทลอาวิฟ พร้อมประกาศจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของอิสราเอล และเรียกร้องให้เนทันยาฮู เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพื่อความเป็นเอกภาพภายใต้การนำของเธอด้วย
“อิสราเอลไม่ได้เป็นของพวกฝ่ายขวา เช่นเดียวกับที่สันติภาพไม่ได้เป็นของพวกฝ่ายซ้าย” ลิฟนี วัย 50 ปี กล่าว
ทว่า การที่พรรคคาดิมา มีคะแนนนำอยู่เพียงฉิวเฉียดไม่ได้หมายความว่า ลิฟนี จะได้เป็นผู้นำการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน ในขณะที่พวกฝ่ายขวาดูเหมือนมีแนวโน้มจะกลับมาครองอำนาจอีกครั้งหนึ่งหลังเกิดเหตุการณ์สงครามในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้ผู้คนพากันหวั่นวิตกในเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น
ด้าน เนทันยาฮู วัย 59 ปี ก็กล่าวแสดงความมั่นใจเช่นกัน ว่า เขาจะเป็นผู้นำรัฐบาลคนใหม่ หลังจากพรรคลิคุดสามารถคว้าที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว
“ฝ่ายรักชาติ (ฝ่ายขวา) ภายใต้การนำของลิคุด สามารถครองเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้งคราวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ผมมั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลและประสานกลุ่มพลังต่างๆ ในประเทศเพื่อนำพาอิสราเอลต่อไป” เนทันยาฮู กล่าวกับผู้สนับสนุนที่สำนักงานใหญ่ของพรรค
ทั้งนี้ ในระบบการเมืองของอิสราเอล พรรคที่ได้เสียงมากที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องได้จัดตั้งรัฐบาลเสมอไป และพวกนักวิเคราะห์ก็คาดหมายกันว่า อดีตผู้นำอิสราเอลสายเหยี่ยวจะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง หากเขารวบรวมเสียงสนับสนุนได้ถึง 61 เสียง จากที่นั่งในสภาทั้งหมด 120 เสียง
สำหรับพรรคอื่นๆ ที่ได้รับคะแนนเสียงรองๆ ลงไป มีพรรคขวาจัด “ยิสราเอล เบเตนู” ของอะวิกดอร์ ลีเบอร์แมน ได้ 15 ที่นั่ง จึงทำให้คาดกันว่าลีเบอร์แมนจะเป็นคนสำคัญซึ่งผู้ต้องการจัดตั้งรัฐบาลผสม ต้องพยายามติดต่อทาบทาม
ในขณะที่พรรคอันดับ 4 คือ พรรคแรงงานของเอฮุด บารัค รัฐมนตรีกลาโหม ได้เพียง 13 ที่นั่ง และนับเป็นจุดตกต่ำที่สุดของพรรคการเมืองแนวกลาง-ซ้ายพรรคนี้ ส่วนพรรคชาสซึ่งเป็นกลุ่มเคร่งศาสนาได้ 11 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิ 65.2 เปอร์เซ็นต์ จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดราว 5.3 ล้านคน
คาดกันว่า หากฝ่ายขวาขึ้นสู่อำนาจจะเป็นอุปสรรคต่อความพยายามฟื้นฟูการเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลางที่สหรัฐฯ สนับสนุนอยู่ ทั้งนี้ เนทันยาฮู ได้ให้คำมั่นในระหว่างหาเสียงว่าจะทำลายฮามาสให้ราบคาบเพื่อไม่ให้อิสราเอลต้องถูกโจมตีด้วยจรวดจากฉนวนกาซาอีกต่อไป
ส่วนผู้นำปาเลสไตน์ ก็พยายามระมัดระวังไม่แสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายใดในการเลือกตั้งอิสราเอลครั้งนี้ แม้จะมีผู้นำอาวุโสบางคนระบุว่าผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการสันติภาพคงจะหยุดชะงักลง
ขณะที่ผู้นำของฮามาส ได้แสดงท่าทีไม่ยี่หระต่อการเลือกตั้งของอิสราเอล โดยบอกว่าผู้นำอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็แย่พอๆ กัน
