เอเอฟพี - สหรัฐอเมริกากล่าวเมื่อวันอังคาร (8) ว่า ความไม่สงบทางภาคใต้ของไทยจากฝีมือกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง “น่าวิตกเป็นอย่างมาก” ยืนยันไม่เข้าแทรกแซงกิจการภายใน
มีประชาชนมากกว่า 3,000 คนถูกสังหาร นับตั้งแต่ความไม่สงบที่เกิดจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนปะทุขึ้นมาในเดือนมกราคมปี 2004 และยุทธศาสตร์ของกลุ่มหัวรุนแรง คือ สะท้อนความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่รายงานของกลุ่มสิทธิมนุษยชนสหรัฐฯ บอกว่า การฆ่าตัดหัว เผาทั้งเป็น และทรมาน กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น
“ความไม่สงบทางภาคใต้ของไทยน่าวิตกเป็นอย่างมาก เรารู้ว่ามันก็หนักใจสำหรับทางการไทย” นายสกอต มาร์เชียล ทูตสหรัฐฯ ประจำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนกล่าว ณ สถาบันนานาชาติวูดโรว์ วิลสัน
เขากล่าวว่า รัฐบาลใหม่ของไทยภายใต้นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อรั้งความรุนแรงไม่ให้ลุกลาม “สถานการณ์ดีขึ้นแต่มันไม่ดีขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้น มันยังคงมีอยู่ ผมคิดว่ามีเป็นปัญหาที่สาหัส--สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือรัฐบาลไทยเคร่งเครียดกับปัญหานี้เป็นอย่างมาก” มาร์เชียลกล่าว
มาร์เชียล กล่าวว่า ปัญหาไม่สามารถคลี่คลายด้วยวิถีทางทหาร ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ผลักดันบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงเข้าระงับวิกฤต ด้วยความพยายามเอาชนะ “จิตใจและหัวใจ” ของประชาชน
แต่สหรัฐฯ มีท่าทางว่าจะไม่เข้าไปพัวพันด้วย “เราไม่คาดหวังถึงบทบาทของสหรัฐฯ ผมไม่คิดว่านั้นจะก่อประโยชน์ ผมไม่คิดว่าคนไทยคิดว่ามันจะเกิดประโยชน์” เขากล่าว “ถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์เราจะทำและหากได้รับการร้องขอ เราจะพิจารณา แต่ ณ เวลานี้เราแค่กำลังมองดู”
กลุ่มสิทธิมนุษยชนเมื่อวันอังคาร (8) ได้ออกมาพูดถึงกรณีการโจมตีซึ่งมีเป้าหมายที่พลเรือนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในภาคใต้ของไทย พร้อมเตือนว่าการตัดหัว เผาทั้งเป็นและทรมาน กำลังถูกทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาขึ้นทุกที
“กลุ่มก่อความไม่สงบยังคงลงมืออย่างโหดเหี้ยมต่อพลเรือนเพื่อแสดงอำนาจของพวกเขาและลดความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ไทย” แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอชท์ภูมิภาคเอเชียกล่าวในแถลงการณ์
“ผู้นำกลุ่มก่อความไม่สงบต้องทบทวนกลยุทธ์ของตนซึ่งไม่เพียงน่ารังเกียจ แต่ยังทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกในหมู่ประชาชนทางภาคใต้ รวมทั้งชุมชนของพวกเขาเองด้วย”