xs
xsm
sm
md
lg

IMF แนะวิธีแก้วิกฤต "แฮมเบอร์เกอร์" ไม่แรง-เข้มงวดเหมือนคราว 'ต้มยำกุ้ง'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอฟพี/เอเจนซี -กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กลับลำหนุนใช้มาตรการอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเพื่อแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจให้กับประเทศตะวันตกที่ร่ำรวย ต่างจากในวิกฤต "ต้มยำกุ้ง" ของเอเชียเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งยาที่ไอเอ็มเอฟสั่งก็คือมาตรการรัดเข็มขัดอย่างรุนแรงในทุกภาคส่วนและทำให้ธุรกิจจำนวนไม่น้อยต้องล้มละลาย

มาตรการที่ไอเอ็มเอฟแนะนำกับชาติร่ำรวยในคราวนี้ก็คือ ลดอัตราดอกเบี้ย,ลดภาษี รวมทั้งการใช้เงินของรัฐเข้าไปบรรเทาวิกฤตการเงินที่กำลังลุกลามจากสหรัฐฯ ไปทั่วโลก

"ธนาคารกลางในประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ มีนโยบายลดดอกเบี้ยที่เหมาะสมแล้ว" ไซมอน จอห์นสัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของไอเอ็มเอฟกล่าวในระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันพุธ(9) และเสริมอีกว่าประเทศเหล่านี้ก็อาจจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับขึ้นมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม

นอกจากนี้เขาก็ได้ชมเชยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มูลค่า 168,000 ล้านดอลลาร์ว่าเป็นการเคลื่อนไหวของรัฐบาลอย่างทันเวลาในการประคองเศรษฐกิจไว้ในช่วงขาลง แถมยังแนะนำประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ให้ลดอัตราภาษีลงด้วยหากว่าสามารถกระทำได้

การนำเอางบประมาณภาครัฐเข้ามาอัดฉีดเพื่อป้องกันการล้มคว่ำของสถาบันการเงินก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามของไอเอ็มเอฟเหมือนเมื่อก่อน จอห์นสัน กล่าวว่า สามารถนำเงินจากภาครัฐมาใช้ได้หากว่ามีเหตุผลเพียงพอ และก็ยกกรณีแบร์สเติร์นส อดีตวาณิชธนกิจอันดับห้าของสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง

ความกังวลที่ว่าการอัดฉีดเงินเข้าไปนี้จะเป็นการช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ดำเนินธุรกิจโดยประมาท ทำให้ต้องมีการพิจาณาช่วยเหลือให้รอบคอบ โดยดูเป็นรายกรณีไป "เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ปฏิบัติการกู้ชีพที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์" เขากล่าว

มาตรการที่ไอเอ็มเอฟแนะนำประเทศร่ำรวยในคราวนี้ แตกต่างราวฟ้ากับดินจากสิ่งที่ไอเอ็มเอฟแนะนำประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย หรือละตินอเมริกาเมื่อคราวประสบปัญหา เพราะตอนนั้นไอเอ็มเอฟบอกว่าการลดอัตราดอกเบี้ย,การเข้าไปอัดฉีดเงินให้ธนาคารที่ดำเนินธุรกิจสุ่มเสี่ยงจนประสบปัญหาการเงิน รวมทั้งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นมาตรการนอกตำราอย่างร้ายแรงและจะไม่แก้ไขปัญหาใดๆ รังแต่ทำให้ปัญหาหนักยิ่งขึ้นในระยะยาว

จากนั้นไอเอ็มเอฟเฝ้าพร่ำสอนถึงแต่การมีวินัยทางการคลัง ลดการอุดหนุนจากภาครัฐ และต้องแยกพวกสถาบันการเงินที่ย่ำแย่ออกมาจากกลุ่มที่ยังดีอยู่ให้ได้ และเหนืออื่นใดไอเอ็มเอฟบอกว่าการล้มละลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ไขปัญหา
.
"โจเซฟ สติกลิทซ์เป็นคนชี้ให้เห็นเป็นคนแรกๆ ว่าในบางประเทศ อย่างเช่นเกาหลีใต้ ไอเอ็มเอฟบีบให้มีการรัดเข็มขัดมากเกินไป" แนนซี่ เบิร์ดแซล ประธานของศูนย์เพื่อการพัฒนาโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานศึกษาวิจัยในกรุงวอชังตันกล่าว

สติกลิทซ์เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวลโนเบิลในปี 2001 และเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เบิร์ดแซล กล่าวว่า สติกลิทซ์ไม่เห็นด้วยเลยกับคำแนะนำของไอเอ็มเอฟที่ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสร้างความมั่นใจในค่าเงินคืนมา

อย่างไรก็ตาม โดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของไอเอ็มเอฟ บอกว่า ไม่ควรที่จะพูดเรื่องไอเอ็มเอฟมีการเปลี่ยนแนวคิด ในทาง"ขยายความให้มากเกินจริง"

"เพราะแต่ละประเทศจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาของตัวเองและแก้ไขให้ลุล่วงไปโดยให้ความสำคัญกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับส่วนรวมเป็นหลัก"เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี และก็เพิ่มเติมว่าวิกฤตที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบันนี้มิใช่วิกฤตค่าเงินเหมือนเมื่อก่อน

นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์หลายคนเห็นพ้องกับไอเอ็มเอฟ อย่างเช่นเอ็ดวิน ทรูแมนแห่งสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศพีเทอร์สัน เขาบอกว่าหากเรานำเอามาตรการลดอัตราดอกเบี้ยไปใช้กับเอเชียเมื่อ 10 ปีก่อน จะทำให้ค่าเงินของเอเชียที่ร่วงลงไปแล้ว 25 เปอร์เซนต์ดิ่งลงไปอีก

สเตราส์-คาห์น บอกว่า นอกจากวิกฤตจะเปลี่ยนไปแล้ว ไอเอ็มเอฟก็เปลี่ยนไปด้วย ตัวเขาเองนั้นเป็นพวกสนับสนุนแนวคิดของเคนส์ ดังนั้นจึงนิยมด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าการรัดเข็มขัด

"บุคลิกภาพผู้ที่นำองค์กรก็มีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวนโยบายขององค์กรมากด้วยเช่นกัน" เป็นคำอธิบายที่สเตราส์-คาห์บอกว่าทำไมไอเอ็มเอฟจึงเปลี่ยนไป
กำลังโหลดความคิดเห็น