เอเอฟพี – ผู้นำชาติเอเชียร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของอดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซียด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไป โดยมองว่าแม้ซูฮาร์โต จะเป็นผู้นำที่นำความทันสมัยมาสู่อินโดนีเซีย แต่ก็เป็นจอมเผด็จการซึ่งปกครองอินโดนีเซียมาอย่างยาวนานในเวลาเดียวกัน
ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยุดโธโยโน ของอินโดนีเซีย ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตผู้นำอินโดนีเซีย พร้อมกับขอให้ชาวอินโดนีเซียสวดมนต์ให้กับอดีตผู้นำผู้ล่วงลับ ซึ่งเขายกย่องว่าเป็น “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่” ของอินโดนีเซีย
“ผมอยากขอให้ชาวอินโดนีเซียแสดงความเคารพสูงสุดต่อผู้เป็นลูกชายที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ซึ่งเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่ได้สร้างคุณูปการ และเสียสละให้กับประเทศอย่างมากมาย” ยุดโธโยโน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอินโดนีเซียที่มาจากการเลือกตั้งกล่าว
ด้าน มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งปกครองมาเลเซียในช่วงที่ซูฮาร์โตเรืองอำนาจ กล่าวว่า ซูฮาร์โต เป็นทั้งเพื่อนของมาเลเซีย และเป็นเพื่อนของเขา ซึ่งเขามองว่า นอกจากซูฮาร์โตจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษระหว่างประเทศอีกด้วย
“โดยส่วนตัวแล้วผมรู้จักท่าน และได้ร่วมงานกับท่านมาเป็นเวลานาน ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ท่านปกครองอินโดนีเซีย อินโดนีเซียจะไม่ได้เป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ ท่านเป็นผู้ที่นำเสถียรภาพมาสู่อินโดนีเซียอย่างแท้จริง” อดีตนายกฯ มาเลเซีย กล่าว
มหาเธร์ ยังกล่าวถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อซูฮาร์โตในเรื่องของการสังหารหมู่กลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์กว่า 500,000 คนว่า เป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง
“ผมรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ดี ผมรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น อินโดนีเซียในขณะนั้นอยู่ในภาวะที่ไร้ขื่อแป และท่านซูฮาร์โตก็ไม่ได้มีอำนาจอยู่ในมือ ในช่วงเกิดเหตุสังหารหมู่นั้น ท่านไม่ได้เป็นแม้กระทั่งประธานาธิบดี และไม่ได้เป็นผู้สั่งการแต่อย่างใด” อดีตผู้นำมาเลเซีย ระบุ
ซาอิด ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า การจากไปของซูฮาร์โตนับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของอินโดนีเซีย
“พวกเรารู้สึกเสียใจต่อการจากไปของท่านซูฮาร์โต ซึ่งในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้นำของอินโดนีเซีย ได้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น จริงๆ แล้วท่านมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย รวมถึงยังเป็นผู้ทำให้เกิดอาเซียน (สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ขึ้นในภาพรวม” รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ระบุ
ขณะที่ ยาสุโอะ ฟูกูดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ส่งสารแสดงความเสียใจไปยังประธานาธิบดียุดโธโยโน โดยระบุว่า เขาขอให้ดวงวิญญาณของซูฮาร์โตจงไปสู่สุคติ พร้อมยกย่องความพยายามของซูฮาร์โตในการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างอินโดนีเซียและญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับ คาเมรอน ฮูม ทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงจาการ์ตา ที่ได้กล่าวเชิดชูซูฮาร์โต ว่า เป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ผู้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของอินโดนีเซีย
“แม้จะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านซูฮาร์โตได้สร้างไว้ แต่ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ผู้สร้างรอยประทับที่มั่นคงถาวรให้กับอินโดนีเซียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ฮูม กล่าวในแถลงการณ์
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ ของออสเตรเลีย ได้กล่าวแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของซูฮาร์โตและชาวอินโดนีเซียต่อการสูญเสียอดีตผู้นำประเทศในครั้งนี้
รัดด์ ยังได้กล่าวยกย่องซูฮาร์โต ว่า เป็นผู้นำที่นำความทันสมัยมาสู่อินโดนีเซีย รวมถึงเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งอาเซียนและเอเปก (กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) และยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทั้งในภูมิภาคออสเตรเลียและภูมิภาคอื่น
อย่างไรก็ตาม ผู้นำออสเตรเลียได้กล่าวถึงซูฮาร์โตในอีกแง่หนึ่งด้วยว่า เป็นผู้นำที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงกรณีของติมอร์ตะวันออกเช่นกัน
ทั้งนี้ อดีตผู้นำ วัย 86 ปี ซึ่งปกครองอินโดนีเซียมาอย่างยาวนานกว่า 32 ปี ได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันอาทิตย์ (27) หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากอาการป่วยด้วยโรคหัวใจและปอด
ซูฮาร์โตเป็นผู้นำที่ปกครองอินโดนีเซียระหว่างปี 1966-1998 อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจากภาวะเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูอย่างมากของอินโดนีเซียที่ซูฮาร์โตสร้างไว้กลับถูกบดบังด้วยปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งนำไปสู่เหตุนองเลือด และการคอร์รัปชัน โดยช่วงที่ซูฮาร์โตปกครองอินโดนีเซีย ได้มีการกวาดล้างและสังหารกลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์และผู้สนับสนุนกว่าครึ่งล้านคน หลังความพยายามก่อเหตุรัฐประหารของกลุ่มดังกล่าวล้มเหลว ก่อนที่ซูฮาร์โตจะยึดอำนาจในปี 1966 รวมถึงการนำกำลังบุกติมอร์ตะวันออก และการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดอาเจะห์และปาปัว