ซีเอ็นเอ็น - โอมาร์ บินลาดิน ขอร้องบิดา อุซามะห์ ให้เปลี่ยนทางเดินชีวิตเสียใหม่ หยุดก่อกรรมทำเข็ญกับผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป
บุตรของชายผู้เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในโลก ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น จากบ้านพักที่เงียบสงบในย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง ชานกรุงไคโร เมื่อวันอาทิตย์ (20)
โอมาร์ ซึ่งปัจจุบันมีอาชีพเป็นผู้รับเหมาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาชาวอังกฤษ ในอียิปต์ บอกว่าสาเหตุที่เขาออกมาพูดต่อสาธารณชน เพราะว่าต้องการยุติความรุนแรงทั้งหลายทั่วโลกที่บิดาเขาก่อขึ้น ความรุนแรงที่คร่าชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001
“ผมพยายามและพูดฝากไปยังพ่อของผม พยายามหาทางอื่นเพื่อช่วยหรือค้นหาเป้าหมายของคุณ ระเบิดนี้ อาวุธเหล่านี้ ไม่ดีเลยไม่ว่าคุณจะใช้กับใครก็ตาม” โอมาร์ กล่าว
โอมาร์ บอกต่อว่า คำพูดดังกล่าวไม่ใช่แค่สารจากตัวเขา แต่มาจากเพื่อนของพ่อและชาวมุสลิมคนอื่นๆ ที่แสดงความรู้สึกถึง อุซามะห์ ว่า “พวกเขาบอกเช่นกันว่า...พ่อของผมควรเปลี่ยนแนวทางของเขา”
เขายอมรับว่า ไม่ได้พูดกับพ่อของเขามาตั้งแต่ปี 2000 เมื่อครั้งออกจากแคมป์อัลกออิดะห์ในอัฟกานิสถานพร้อมคำอวยพรของบิดา และยืนยันไม่ทราบว่า พ่อของเขาอยู่ที่ไหน แต่มั่นใจว่าพ่อของเขาจะไม่มีวันถูกจับเพราะพลเรือนท้องถิ่นให้การสนับสนุน
เมื่อถามว่า บางทีพ่อของเขาอาจหลบซ่อนอยู่ตามชายแดนอัฟกานิสถาน-ปากีสถาน โอมาร์ ตอบว่า “บางทีอาจใช่ หรือไม่ใช่” พร้อมระบุ “ผู้คนที่นั่นต่างออกไป พวกเขาไม่ใส่ใจรัฐบาล”
ณ เวลานี้ โอมาร์ และภรรยา เตรียมตั้งองค์กรที่ต่างจาก อุซามะห์ บิดาของเขา โดยทั้งสองคนมีจุดมุ่งหมายเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ
ทั้งนี้ โอมาร์ ไม่ได้มองว่าพ่อของเขาเป็นก่อการร้าย เมื่อครั้งที่ต่อสู้กับสหภาพโซเวียต โดยสหรัฐฯมอง อุซามะห์ บินลาดิน ว่าเป็นวีรบุรุษ “ก่อนหน้านี้ พวกเขาเรียกว่าสงคราม ตอนนี้เรียกว่าก่อการร้าย” พร้อมอ้างว่าพ่อของเขามองว่าหน้าที่คือปกป้องมุสลิมจากการโจมตี
“พ่อเชื่อว่า งานของเขาคือ--ช่วยเหลือผู้คน” เขากล่าว “ผมเองไม่คิดว่าพ่อเป็นก่อการร้ายเพราะประวัติศาสตร์ได้บอกคุณว่าเขาไม่ใช่” อย่างไรก็ตาม โอมาร์ เปิดเผยว่า เมื่อครั้งตอนอายุ 14 และเริ่มต้นฝึกอาวุธในค่ายของอัลกออิดะห์ เขากับพ่อผิดใจกัน หลังไม่พอใจที่พ่อสังหารพลเรือน