xs
xsm
sm
md
lg

อินเดียเป็นมหาอำนาจทางทะเลอย่างเงียบ ๆ

เผยแพร่:   โดย: สุธา รามจันทราน

India's quiet sea power
By Sudha Ramachandran
02/08/2007


บังกาลอร์ – มีรายงานว่าสถานีดักฟังของอินเดียบนเกาะมาดากาสการ์ (ชายฝั่งตะวันออกของทวีปอาฟริกา) เริ่มปฏิบัติการแล้ว หลังใช้เวลาสร้างอยู่ 1 ปี สถานีแห่งนี้จะช่วยเป็นหู-ตาอิเลกโทรนิคของอินเดีย ที่จะใช้สอดส่องอาณาบริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรอินเดีย

สถานีดักฟังดังกล่าวตั้งอยู่ตอนเหนือของมาดากาสการ์ โดยหนังสือพิมพ์ The Indian Express รายงานว่า ‘เปิดทำการอย่างเงียบ ๆ’ มาตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะเชื่อมต่อกับสถานีแบบเดียวกันที่เมืองโคชิและนครมัมไบ (บอมเบย์เก่า) ‘เพื่อทำหน้าที่เก็บข่าวกรองกองเรือนาวีต่างชาติ ที่ปฏิบัติการอยู่ในละแวกนี้’ มัมไบกับโคชิตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย เป็นกองบัญชาการกองเรือนาวีภาคตะวันตก และภาคใต้ของอินเดีย ตามลำดับ

มาดากาสการ์เป็นเกาะขนาดใหญ่นอกฝั่งตะวันออกของทวีปอาฟริกา เป็น 1 ในหลาย ๆ แห่งตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ที่อินเดียไปสร้างฐานทัพเรือ ท่าเทียบเรือ และสถานีดักฟังทางทะเล ในระหว่างมีการประชุมสุดยอดสหภาพอาฟริกา (African Union summit) ปี 2003 และในระหว่างการประชุมสุดยอดเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum summit) ในปีต่อมา กองเรือนาวีของอินเดียก็ได้เข้าไปรักษาการณ์ในอาณาบริเวณน่านน้ำทางทะเลของโมแซมบิกมาแล้ว

ทางตะวันออกของมาดากาสการ์คือมอริเชียส ในปี 1974 อินเดียปูพื้นฐานด้านความร่วมมือทางนาวีกับมอริเชียส โดยมอบเรือรบชื่อ ‘อมร’ (Indian Naval Ship –INS Amar) ให้เป็นของขวัญ ต่อมาในปี 2001 ก็มอบเรือลาดตระเวนสกัดกั้น ชื่อ INS Observer และปี 2004 ก็มอบเครื่องบินตรวจการณ์ทะเล ชื่อ Dornier Do 228ให้อีก 1 ลำ นอกจากนี้ กองเรือนาวีของอินเดียก็ได้ไปลาดตระเวนในน่านน้ำของมอริเชียส อีก 2-3 ครั้ง

ปีที่แล้ว มีรายงานในสื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่อินเดียจะขยายปฏิบัติการของตนในมอริเชียสออกไปอีก รายงานดังกล่าวระบุว่า มอริเชียสจะยกหมู่เกาะอะกาเลกาให้อินเดียเช่าช่วงในระยะยาว เพื่อพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หมู่เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากมอริเชียส 1,100 กิโลเมตร จากอินเดีย 3,000 กิโลเมตร และจากฐานทัพสหรัฐที่ดิเอโก กราเซีย 1,800 กิโลเมตร

แต่ทั้งอินเดียและมอริเชียสรีบออกมาปฏิเสธการข่าวการให้เช่าดังกล่าวในทันที เพราะการให้เช่าเกาะของพวกเครียว (Creole*) แห่งนี้ เป็นประเด็นที่ล่อแหลมมากสำหรับประเทศอย่างมอริเชียส ที่มีปัญหาด้านประชากร คือชาวมอริเชียสพูดภาษาอินเดีย แต่ส่วนพวกเครียวที่นั่นพูดภาษาผสมฝรั่งเศส กระนั้นก็ดี Indian Express ยังรายงานอีกว่า “อินเดียกำลังเล็งจะสร้างสถานีดักฟัง ที่เกาะปะการังที่เช่ามาจากมอริเชียสแห่งนี้ (อะกาเลกา) ในอนาคตอันใกล้” ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลอินเดียปิดปากเงียบ แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังอ้างแหล่งข่าว โดยกล่าวว่า “แหล่งข่าวบอกว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้โครงการดังกล่าวก็มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว”
(*ภาษาเครียวเป็นภาษาลูกผสมระหว่างภาษาของคนพื้นเมืองกับภาษาของพวกล่าอาณานิคม เช่นเนเธอร์แลนด์ ปอร์ตุเกต สเปน และอังกฤษ ภาษาลูกผสมเช่นนี้มีกระจายไปเกือบทั่วโลก สำหรับมอริเชียสเปลี่ยนมือจากอาณานิคมของดัช ตกไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี 1715 และถูกอังกฤษยึดไปในปี 1810)

ข้ามช่องแคบจากมาดากาสการ์ไปทางตะวันตกเป็นโมซัมบิก ปีที่แล้ว อินเดียลงนามในบันทึกช่วยจำกับโมซัมบิก เพื่อจะให้ความช่วยเหลืออุปกรณ์ทางการทหาร ฝึกอบรม ส่งมอบเทคโนโลยีในการซ่อมบำรุงยวดยาน เครื่องบิน และเรือรบ และเข้าไปลาดตระเวนในน่านน้ำของฝ่ายหลัง

ความสัมพันธ์ที่อินเดียมีมานานกับเซเชลส์* ยิ่งเข้มแข็งขึ้นในปี 2005 เมื่อรัฐบาลในนิวเดลีมอบเรือโจมตีเร็ว ชื่อ INS Tarmugli** นอกจากนี้ หลายปีมานี้ อินเดียยังมอบเฮลิคอปเตอร์ให้เซเชลส์อีกหลายลำ และเรือรบอินเดียก็ไปเยือนหมู่เกาะแห่งนี้เป็นประจำ
(*เป็นหมู่เกาะทางตอนเหนือของมาดากาสการ์ ตั้งชื่อตามชอง โมโร เดอ เซเชลส์ รมต.คลังในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส
**ระวางขับน้ำ 260 ตัน ความยาว 46 เมตร ความเร็ว 30 น๊อต พลประจำเรือ 29 คน กับนายทหาร 4 นาย ติดอุปกรณ์ตรวจจับและอาวุธโจมตีทันสมัยหลายชนิด สร้างเสร็จและเข้าประจำการในกองเรือนาวีอินเดียปี 2002 หลังเซเชลส์รับมอบ เปลี่ยนชื่อเป็น SCGS Topaz)

กองเรือนาวีของอินเดียไปปรากฏตัวทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรอินเดีย โดยไม่ค่อยมีใครสังเกต ซึ่งตรงข้ามกับการปรากฏตัวในช่องแคบมะละกา และในอ่าวโอมานที่ปรากฏเป็นข่าวหนาหูมาก เช่นกองเรือนาวีของอินเดียทำการซ้อมรบร่วมทางทะเลกับสิงคโปร์มากว่า 10 ปีแล้ว กับกองเรือนาวีอินโดนีเซียปี 2004 กับราชนาวีไทยเมื่อเดือนสิงหาคม ปีกลาย เดือนหน้า กองเรือนาวี 5 ชาติ (อินเดีย สิงคโปร์ สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) จะซ้อมรบใหญ่ในอ่าวเบงกอล ส่วนทางตะวันตก อินเดียก็ร่วมซ้อมรบทางทะเลในอ่าวโอมาน อ่าวเอเดน และทะเลอาหรับ กับทั้งโอมาน อิหร่าน และฝรั่งเศส

กองเรือนาวีของอินเดียทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรอินเดีย ถึงจะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็เติบโตขึ้นอย่างเงียบ ๆ คาดว่าในปีหน้า จะมีการซ้อมรบทางทะเลร่วมกับแอฟริกาใต้ (ซึ่งมีกองเรือนาวีขนาดกลางในอาฟริกา) และบราซิล

นายทหารเรืออินเดียหลายคนกล่าวว่า การที่อินเดียมอบเรือลาดตระเวนเป็นของขวัญให้เพื่อนบ้าน ทั้งใกล้และไกล ก็เพื่อที่จะ “ช่วยพวกเขาให้แยกแยะและระบุเรือเคลื่อนที่เร็วบนผิวน้ำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเรือเหล่านั้นอาจจะบรรทุกผู้ก่อการร้าย ลักลอบขนส่งอาวุธ และสินค้าหนีภาษี โดยมอบเครื่องมือที่ดีกว่าให้ อินเดียไม่เพียงหวังจะให้พวกเขาป้องกันตนเองให้ดีขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังหวังว่าสิ่งที่มอบให้นี้ จะไปหยุดยั้งการขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์และสินค้าหนีภาษี ที่จะไหลเข้ามาในอินเดียเองด้วย”

นอกจากนี้แล้ว น่านน้ำนอกฝั่งอาฟริกายังแพร่ระบาดด้วยปัญหาโจรสลัด ที่กระทบการค้าของอินเดียด้วย เหนือมาดากาสการ์ขึ้นไปคือโซมาเลีย ที่สำนักการเดินเรือสากล (International Maritime Bureau -IMB) ออกมาระบุว่า ชายฝั่งทะเลของประเทศนี้มีความเสี่ยงจากภัยโจรสลัดสูงที่สุดในโลก จากรายงานของ IMB ล่าสุด ใน 7 เดือนแรกในปีนี้ มีเรือถูกปล้นทั้งในและนอกน่านน้ำโซมาเลียถึง 15 ครั้ง เทียบกับตลอดปีที่แล้วที่ 10 ครั้ง เมื่อเดือนพฤษภาคม มีเรือพาณิชย์ลำหนึ่งของอินเดียถูกโจรสลัดโซมาเลียจับ และยึดเรือไว้นาน 1 เดือน

ดังนั้น สำหรับอินเดียแล้ว การเฝ้าระวังน่านน้ำนอกฝั่งตะวันออกของอาฟริกา จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ในการดูแลเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรอินเดียในบริเวณนั้น การค้าของอินเดียส่วนใหญ่เป็นการค้าขายทางทะเล การนำเข้าน้ำมันก็มาจากทางทะเลกว่าร้อยละ 89 ดังนั้น เส้นทางเดินเรือทะเลจึงเป็นเส้นชีวิตของเศรษฐกิจอินเดีย หากถูกปิดกั้นย่อมจะเกิดความหายนะทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางพลังงานอย่างมาก

อินเดียเฝ้าระวังเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรอินเดียมาโดยตลอด และสถานีดักฟังที่มาดากาสการ์ก็เป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางทะเลและกองเรือนาวีของอินเดียทั้งหมด

อินเดียแผ่แสนยานุภาพจากฝั่ง ออกไปไกลในมหาสมุทรอินเดีย และถือว่ามหาสมุทรที่นั่นเป็นอาณาเขตของตน บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารโรงเรียนยุทธการทางทะเล (Naval War College Review) ปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ โดนัลด์ แอล เบอร์ลิน แห่งศูนย์ความมั่นคงศึกษาแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Center for Security Studies) ในฮอโนลูลู และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ในมหาสมุทรอินเดีย เขียนไว้ว่า

‘นิวเดลีถือว่ามหาสมุทรอินเดียเป็นสนามหลังบ้าน และเห็นว่ามันเป็นธรรมดาและเป็นที่พึงประสงค์ ที่ในที่สุด อินเดียจะต้องขึ้นเป็นผู้นำและมีอิทธิพลในอาณาบริเวณ ที่ตั้งชื่อตามชื่อประเทศนี้ สิ่งนี้สหรัฐอเมริกาก็กระทำต่อทวีปอเมริกาเหนือ และซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere*) ตั้งแต่สหรัฐเริ่ม ‘ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ’ นโยบายต่างประเทศสหรัฐตลอดศตวรรษที่ 19 มีเป้าหมายร่วมเพียงประการเดียว คือเป็นครองความเป็นเจ้าในซีกโลกตะวันตก’
(*ครึ่งหนึ่งของโลก โดยนับตั้งแต่เส้นไพรม์ เมอริเดียน (ตำบลกรีนิช ในอังกฤษ) ไปทางตะวันตก 180 องศา คือทวีปอเมริกาทั้ง 2 ทวีป เกือบทั้งหมดของมหาสมุทรแอตแลนติด และเกือบทั้งหมดของมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนอีกครึ่งโลกที่เหลือเป็นซีกโลกตะวันออก-Eastern Hemisphere)

ในแนวคิดของคนอินเดียจำนวนมากก็เช่นกัน คืออาณาเขตความมั่นคงของอินเดีย ควรที่จะขยายจากช่องแคบมะละกาไปจนจรดช่องแคบเฮอร์มุซ และจากชายฝั่งตะวันออกของทวีปอาฟริกาไปจนจรดชายฝั่งตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย สำหรับชาวอินเดียบางคนจะเน้นเฉพาะตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย แต่อีกบางคนก็คลุมมหาสมุทรอินเดียทั้งหมด ไปจนจรดชายฝั่งทวีปแอนตาร์คติก้าด้วย

ข้อกังวลที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียก็คือ อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของจีนในมหาสมุทรอินเดีย ทั้งที่จีนส่งกองเรือนาวีมา และการมีสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านของอินเดีย อาทิเช่นเมียนมาร์ บังกลาเทศ ศรีลังกา และปากีสถาน จีนมีบทบาทสำคัญที่ท่าเรือน้ำลึกที่กูวดาร์ในปากีสถาน ซึ่งตั้งอยู่ปากทางยุทธศาสตร์ของอ่าวเปอร์เซีย ราว 400 กิโลเมตรจากช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งเป็นช่องทางออกของน้ำมันจากตะวันออกกลางที่ส่งไปหล่อเลี้ยงโลก

โดยเฉพาะยิ่งหนักขึ้น เมื่อเดือนมกราคม ที่ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา เดินทางไปเยือน 8 ประเทศในอาฟริกา และหยุดแวะที่เกาะเซเชลส์ การที่อินเดียเสนอมอบเรือ INS Tarmugli ให้เป็นเรือยามฝั่งของเซเชลส์ ก็เพื่อตัดหน้าความช่วยเหลือด้านนาวีของจีนที่จะให้แก่เซเชลส์นั่นเอง การเยือนของหู ซึ่งจัดเป็นประธานาธิบดีจีนคนแรกที่เยือนประเทศที่เป็นเกาะทางตะวันออกเฉียงใต้ของมหาสมุทรอินเดีย นับเป็นการท้าทายอิทธิพลของอินเดียในย่านนั้นเป็นอย่างมาก

ราชา โมหัน ผู้เชี่ยวชาญกิจการด้านยุทธศาสตร์ของอินเดียชี้ว่า “ไม่มีใครตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่อินเดียยื่นเท้าเข้าไปยังประเทศที่เป็นเกาะแก่ง และมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ยิ่งเหล่านั้น แต่คำถามก็ยังคงมีอยู่ที่ว่า แล้วอินเดียรับมือทางยุทธศาสตร์กับการที่จีนโผล่เข้ามาทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดียได้ จริงหรือ”

Sudha Ramachandran is an independent journalist/researcher based in Bangalore.

กำลังโหลดความคิดเห็น