วิจารณ์หนังสือ
ข้าคือกฎหมาย
การรวมหัวกันเปลี่ยนแปลงโลก โดย นิกค์ ร๊อบบิ้นส์
วิจารณ์โดย ศรีราม โชวลีอา
27/1/2007
บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (British East India Company) มีส่วนต้องรับผิดชอบอย่างสำคัญ ต่อการที่พวกเขาเป็นผู้สร้างโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม นิกค์ ร๊อบบิ้นส์ นักประวัติศาสตร์ได้หยิบเอาการร่วมมือกันในอดีต ใน ‘ยุคแห่งความอิ่มเอิบ’ (the Age of the Enlightenment) มาทบทวนดูใหม่ เพื่อดูว่ามันได้ทิ้งเงามืดเอาไว้ในระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันนี้แบบไหน อย่างไร นี่คือความพยายามที่จะเปิดเผยผลพวงอันชั่วร้ายของมัน เพื่อว่าปฏิสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างตะวันตกกับเอเชียจะได้มีความยุติธรรมขึ้นมาบ้าง
จากศตวรรษที่ 17 ถึง 19 บริษัทอีสอินเดียแห่งอังกฤษก่อให้เกิดมาตรฐาน อันเป็นที่น่าตกตะลึงแห่งยุคสมัย โดยมันได้การละเมิดหลักธรรมาภิบาล ครอบงำตลาดหุ้น และกดขี่ประชาชน (with executive malpractice, stock-market excesses and human oppression) ยิ่งกว่าอาชญากรรมในยุคเรา เช่นกรณี Enron* ร๊อบบิ้นเห็นว่าอีสอินเดียฯทรงอำนาจมากไป และเป็นตัวปัญหา
(*เอ็นรอนเคยเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในเมืองฮุสตัน มลรัฐเทกซัส ถูกฟ้องศาลล้มละลายในปี 2001 ในข้อหาแต่งบัญชีงบดุลบริษัทต่อเนื่องเสมอมา พูดง่าย ๆ คือสร้างบริษัทขึ้นมาจากการหลอกลวง-ต้มตุ๋น ก่อนถูกฟ้องเอ็นรอนมีพนักงาน 21,000 คน เป็นบริษัทชั้นนำของโลกในด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ กระดาษ และการคมนาคมขนส่ง อ้างว่าในปี 2000 มีรายได้ถึง US$111 พันล้านเหรียญ ถูกนิตยสารฟอร์จูนจัดอันดับให้เป็น ‘บริษัทสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดในสหรัฐ’ ติดกันถึง 6 ปี ศาลตัดสินให้ล้มละลาย ราคาหุ้นของบริษัทลดลงจากก่อนถูกฟ้องที่ $90.00 เหรียญ ลงมาเหลือที่ $00.30 เหรียญ)
คาร์ล มาร์กซเรียกมันว่า ‘ผู้ถือตราสารหนี้’ แห่ง ‘ลัทธิบูชาเงินตรา’ ของอังกฤษ กระทั่งอาดัม สมิธ นักเศรษฐศาสตร์ที่มักจะสงสัยในบรรษัทที่ทรงอำนาจ ก็ยังตื่นตระหนกจากการที่อีสอินเดียฯ ‘กดขี่และครอบงำ’ อินเดีย เอ็ดมุนด์ เบอร์เก้* บิดาแห่งลัทธิจารีตนิยมสมัยใหม่ ก็ยังประกาศว่าอินเดีย “ต้องล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิงและไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะถูกบริษัทฯ (อีสอินเดีย) สูบเอาความมั่งคั่งไป”
(*Edmund Burke -1729-1797 รัฐบุรุษแห่งพรรควิก (เก่า) ของอังกฤษ ที่สนับสนุนให้สหรัฐปลดแอกจากอังกฤษ แต่ชิงชังการปฏิวัติฝรั่งเศส เขาได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งฝ่ายจารีตนิยมของสหรัฐ)
บริษัทฯ สถาปนาขึ้นโดยพระราชบัญญัติ ปี 1600 เขตปฏิบัติการครอบคลุมไปตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก ไปถึงอินเดีย ลามผ่านเอเชียอาคเนย์ ขึ้นไปถึงจีนและญี่ปุ่น การปกครองอินเดียแบบอาณานิคมเป็นเพียงแง่หนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักคือการหากำไร และหาเงินปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นที่อยู่ในกรุงลอนดอน
ผลกำไรส่วนตัวคือวัตถุประสงค์หลักของบริษัทฯ ที่ “ทำให้ความมั่งคั่งแต่เดิมที่เคยไหลจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก ย้อนกลับ และทำให้การพัฒนาการของโลกเปลี่ยนทิศ” (หน้า 7) ร๊อบบิ้นออกมาคัดค้านการตีความอดีตของบริษัทฯ โดยใช้แว่นโรแมนติค* ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายอยู่ในอังกฤษในเวลานี้ เพราะการตีความดังกล่าวได้ละเลยการลุแก่อำนาจ ความทุกข์ระทม ความพินาศฉิบหาย และการปล้นชิงที่บริษัทฯ ประทับตราเอาไว้ในอินเดีย ประเด็นของเขาก็คือว่าเราไม่ควรประเมินบทบาทของบริษัทฯ เพราะคุณูปการที่มันบุกเบิกให้โลกตะวันตกได้ไปพบกับอารยธรรมแห่งบูรพาทิศ ซึ่งเป็น ‘เรื่องติดปลายนวม’ แต่ควรประเมินจากการขู่กรรโชก การคอร์รับชั่น และบทบัญญัติที่คุ้มกันไม่ให้มันต้องรับโทษต่างหาก
(*คือแว่นแห่งจินตนาการ แห่งอารมณ์ความรู้สึก)
ตลอดอายุขัยของบริษัทฯ การดำรงอยู่ของมันล้วนขึ้นอยู่กับตัวเลขรายได้ทางศุลกากร และผลรางวัลที่มันนำมามอบให้ ของขวัญและสินบนที่จะต้องนำขึ้นถวายบรรดาเชื้อพระวงศ์และท่านสมาชิกรัฐสภา “รวมอยู่ในค่าดำเนินการของบริษัท” (น 28) ความสัมพันธ์อันดีกับราชามหากษัตริย์และผู้นำคนอื่น ๆ ในเอเชีย มีความสำคัญต่อบริษัทฯมาก เพราะจะช่วยให้ตนเองรักษาการผูกขาดของบริษัทฯเอาไว้
ดังนั้น การมีกองทัพเพื่อเป็นกุญแจไขเข้าสู่ตลาดเอเชีย จึงเป็นสิ่งสำคัญมากของบริษัทฯมาตั้งแต่ต้น ผู้ว่าการของบริษัทฯมักพร่ำถึง “การทำการค้าโดยถือดาบอยู่ในมือ” (น 29) เพื่อบรรลุผลได้ทางเศรษฐกิจ บริษัทฯต้องใช้ ‘คณะกรรมการลับ’ ที่มีอำนาจสูงสุด มาวางแผนการทางยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหารให้ กระทั่งเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า กระทั่งยึดประเทศโดยการพิชิตก็จะทำ บริษัทฯปฏิบัติตามคำขวัญของบริษัทคู่แข่ง ซึ่งก็คือบริษัทอีสอินเดียแห่งเนเธอร์แลนด์ ที่ว่า “เราทำสงครามที่ไม่มีการค้าไม่ได้ จะให้ทำการค้าโดยไม่ใช้สงครามก็ไม่ได้อีกเช่นกัน” (น 40)
สิ่งดึงดูดพวกพ่อค้าที่สังกัดบริษัทฯ คือเครื่องเทศจากดินแดนที่ตอนนี้เรียกกันว่าอินโดนีเซีย คนเหล่านี้จะค้าในคราวจำเป็น และจะปล้นไปทุกที่ที่มีโอกาส” (น 43) เซอร์ โจไซอาห์ ไชลด์* ผู้ว่าการบริษัทฯในช่วงทศวรรษที่ 1680s เป็นผู้เปลี่ยนแปลงบริษัทให้เป็น ‘อำนาจอธิปัตย์’ และเป็น ‘รัฐบาลทหารที่มีอำนาจสูงสุด’ ในอินเดีย
(*พ่อค้า นักเศรษฐศาสตร์ และผู้ว่าการบริษัทอีสอินเดียแห่งอังกฤษ เกิดในตระกูลพ่อค้าเก่าแก่ของกรุงลอนดอน 1630-1699)
การทำสงครามในตอนต้น ๆ ถูกกองทัพราชวงศ์โมกุลตีกลับ แต่หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอุรังก์เซป ในปี 1707 โดยการติดสินบน บริษัทฯได้สิทธิทำการค้าโดยไม่เสียภาษีที่เบงกอล ไฮเดอราบัดและกุตจรัต มันกลายเป็นบริษัทน่าเชื่อถือ (blue chip) ในตลาดเมอร์เคนไทล์ของตลาดหุ้นลอนดอน มาตั้งแต่ปี 1720 รีดกำไรเป็นกอบเป็นกำจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยการร่วมมือกับกลุ่มอำนาจท้องถิ่นในอินเดีย เป็นต้นว่านาปากฤษณะ เทพ
บริษัทฯทำลายฐานรายได้และเศรษฐกิจท้องถิ่นของผู้ปกครองเบงกอล ซึ่งเป็นแคว้นที่มั่งคั่งที่สุดของอินเดียในช่วงปี 1750s โดยแย่งชิงการทำมาหากินของประชากรจำนวนมากที่นั่น การกดดันและการแข่งขันจากหอการค้าคู่แข่งอื่น ๆ ยุโรป เป็นภัยคุกคามฐานะทางการค้าของบริษัทฯ
เมื่อถูกขับออกจากเบงกอล โรเบิร์ต คลีฟ บารอนนักรบของบริษัทฯอาศัยเล่ห์และการสมคบคิด ยกพลขึ้นบก และรบชนะศึกที่ปลาสเซย์ในวันนั้น (1757) ชัยชนะในครั้งนั้นทำให้บริษัทได้เข้าไปคุมคลังสมบัติและตลาดในเบงกอล
หลังจากชนะอีกศึกหนึ่งที่บูซาร์ในปี 1764 แคว้นพิหาร์กับโอริสสาก็ตกไปอยู่ใต้ความปราณีของ ‘บริษัทจอห์น’ และค่อย ๆ ถูกปอกลอกโดยการค้าที่ไม่เป็นธรรมจนเหลือแต่ผ้าขี้ริ้ว จากความเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจ ตอนนี้ช่างทอผ้าของอินเดียถูกบังคับให้เป็นทาส ไม่อาจจะขายสินค้าให้คนอื่นได้ และจำต้องรับค่าจ้างจากบริษัทฯ ที่กำหนดเอาตามอำเภอใจ กองทหารถูกส่งออกไปยึดวัตถุดิบเอามาจากผู้ผลิต รูปแบบการกดขี่ของบริษัทฯ มีทั้งปรับไหม ขังคุก เฆี่ยนตี และจองจำด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ
การเก็งกำไรและการค้าโดยอาศัยข้อมูลวงในของกลุ่มผู้บริหารบริษัทฯขึ้นถึงจุดสุดยอด บริษัทฯเพิกเฉยต่อการคอร์รับชั่น การตั้งกลุ่มผูกขาดการค้าหมาก เกลือ และยาสูบอย่างผิดกฎหมาย และการประเมินราคาการเข้าไปครอบครองวงการต่าง ๆ แบบสูงเกินจริง คลีฟรณรงค์ยึดทรัพย์สมบัติคนรวยไปทั่วทุกชนชั้น และผันกระแสความมั่งคั่งให้ไหลไปทางตะวันตก
บริษัทฯปล่อยอินเดียตะวันออกให้เปราะบางต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก่อให้เกิดทุพภิกขภัยในปี 1770 ที่มีคนตายไปกว่า 1.2 ล้านคน แทนที่จะแจกจ่ายเพื่อบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯกลับขึ้นภาษีและบังคับซื้อผลิตผลเหมือนหนึ่งจะปล้นสะดม ความโหดร้ายป่าเถื่อนและความรุนแรงอย่างสุด ๆ ของบริษัทฯ ในระหว่างเกิดทุพภิกขภัย เป็น “ตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของการใช้มาตรการที่ผิด” (น 94) ความใจไม้ไส้ระกำต่อชีวิตของคนอินเดีย เป็นผลโดยตรงมาจากความเป็นทรราชของบริษัทฯ
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1770s ตอนที่หุ้นของบริษัทฯตกในลอนดอน คนอินเดียอีกหลายล้านคนต้องสังเวยชีวิต หลังจากฟองสบู่แตก รัฐบาลอังกฤษก็แต่งตั้งตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไป เข้าไปควบคุมการดำเนินนโยบายอย่างอิสระของบริษัทฯ ในตอนนั้น แฮรี่ เฟอเรลสต์ ผู้มาแทนที่คลีฟในเบงกอล ถูกพบว่ามีความผิดฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน ในปี 1777 และในปี 1774 ผู้บริหาร 3 ชุดที่รัฐสภาแต่งตั้งพยายามที่จะโค่นวอร์เรน เฮสติ้ง ผู้ว่าการแคว้นเบงกอลของบริษัทฯ ในข้อหาคอร์รับชั่น
อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐก็มีอายุสั้น เฮสติ้งฟันผ่าอุปสรรคออกมาได้ เขาเปิดฉากทำสงครามโดยส่งทหารรับจ้างไปบดขยี้การกบฏของชาวนา คนพื้นเมืองที่ไม่สามารถเสียภาษีมหาโหดได้ถูกสังหาร หรือไม่ก็ “ถูกล่ามไว้ในกรงเปิด” สิทธิของผู้ผลิตชาวอินเดีย กระทั่งที่เป็นสิทธิในทางจารีตประเพณีถูกลิดรอน จนกระทั่งความสามารถทางการผลิตในแคว้นเบงกอลลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ การใช้จ่ายทางทหารแบบไม่บันยะบันยังรีดเลือดหยดสุดท้ายออกจากเศรษฐกิจอินเดียที่กำลังตกเลือด
การปล้นสะดมและการเผาทำลายหมู่บ้านชาวอินเดียเป็นที่นิยมมากของบริษัทฯ เบอร์เก้ทำการสอบสวนเฮสติ้งอยู่นานถึง 7 ปี และระบบศาลยุติธรรมที่อยุติธรรมของอังกฤษก็ออกมาบอกว่า คดีนี้ว่าความไปก็ไร้ประโยชน์ เฮสติ้งแก้ต่างว่าอินเดียเป็นดินแดนที่ล้าหลังและป่าเถื่อน ต้องใช้ความยุติธรรมในระดับที่ต่างออกไป ซึ่งจับใจแนวคิดพวกนิยมจักรวรรดิ (Pax Britannica) ยิ่งนัก ผลก็คือความหยิ่งผยองและเลือดรักชาติแบบจักรพรรดินิยม ก็เข้ามาแทรกแซงความพยายามที่จะเอาผิดบริษัทฯ
ลอร์ด คอนวอลลิส ผู้สืบตำแหน่งต่อจากเฮสติ้ง นำระบบเจ้าที่ดินในอังกฤษไปใช้ในอินเดีย และสร้างชนชั้นผู้ดีชนบททางการเมือง (ซามินดาร์) ขึ้นมาสนับสนุนกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ เจ้าของที่ดินรายเล็ก ๆ 20 ล้านคนไม่ได้รับสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินของตน “คนอินเดียไม่เหมือนชาวยุโรปหรือคริสเตียน จึงให้ถือเป็นพลเมืองชั้นสอง ให้ถือพวกมันเป็นดั่งทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่มนุษย์สังกัดชุมชน” (น 140)
ในช่วงศตวรรษที่ 19 บริษัทฯ เพิ่มปฏิบัติการทางทหารมากขึ้น กำลังทหารของบริษัทฯขยายตัวขึ้นเป็น 10 เท่า ลอร์ด เวลเลสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ว่าการทั่วไปก่อนปี 1805 มีความกระหายในเขตแดนและป้อมทหารเป็นพิเศษ ก็เข้าปล้นสะดมทรัพย์สมบัติของอินเดีย และลำเลียงขึ้นเรือ ส่งไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์และคฤหาสน์ต่าง ๆ ในชนบทของอังกฤษ ที่มะละบาร์ มีการขึ้นอัตราภาษี และที่ดินทำสวนถูกตัวแทนของบริษัทฯบุกเข้ายึด
กรรมกรและเด็ก ๆ ถูกลักพา “เอาผ้ายัดปาก” พาไปทำสวนเยี่ยงทาส (น 144) การก่อกบฏถูกบดขยี้โดยกำลังของบริษัทฯ ถึงขนาดออกมาประกาศว่า “ยิ่งเผาหมู่บ้านมากแห่งเท่าใด เราก็สามารถยึดวัวควายและทรัพย์สินของพวกมันได้มากขึ้น ก็จะยิ่งดีขึ้น” (น 145) พอมาถึงปี 1820 สัญชาติญาณทางทหารก็ขึ้นถึงขีดสุด บริษัทฯไม่สนใจบ่าวไพร่ หรือโอกาสทางธุรกิจอีกต่อไปแล้ว
ในทศวรรษที่ 1830s เมื่อการค้าเปิดเสรี และผู้ประกอบการชาวอังกฤษหน้าใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น บริษัทฯก็สูญเสียการผูกขาด เพื่อชดเชยสิ่งที่เสียไป การขายชาในจีนต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า และจ่ายเป็นฝิ่นที่ลักลอบเข้ามาขาย ความจำเป็นที่ต้องผูกขาดการปลูกฝิ่นในอินเดีย เพื่อแพร่พิษร้ายของมันเข้าไปในจีน ทำให้บริษัทฯต้องทำสงครามกับแคว้นมารัตและสินธุ์ เพื่อเปิดบรรพใหม่ของลัทธิอาณานิยมในเอเชีย บริษัทฯยังส่งความช่วยเหลือทางทหารไปช่วยกองทัพอังกฤษรบกับจีนในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ในปี 1842 ผลประโยชน์การค้าฝิ่นแบบจักรพรรดินิยมเป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้กับความชั่วช้าสามานย์ที่เห็นกันอยู่โต้ง ๆ ให้สาธารณชนในอังกฤษเอง
ในปีท้าย ๆ ในอินเดีย บริษัทฯได้แรงหนุนจากความเหนือกว่าของอารยธรรมตะวันตก ก่อให้เกิดความหยิ่งผยองในอำนาจ บรรดาเจ้าหน้าที่บริษัทฯเริ่มแสดงการเหยียดผิว และใช้คำพูดเสียดสีต่าง ๆ เช่นในยุค 1840s และ 1850s มีการเอาคือว่า “ไอ้มืด” (nigger) มาเรียกคนอินเดีย จอห์น สจ๊วร์จ มิลล์ สมาชิกผู้ซื่อสัตย์ต่อบริษัทฯ มาตลอดเวลา 30 ปี จับเอาเผด็จการในอินเดียมาแต่งหน้าเค้ก โดยบอกว่าบริษัทฯ “กำลังให้การศึกษา และมันเป็นรูปแบบของรัฐบาลที่ชอบแล้ว ในการจัดการกับพวกคนป่าเถื่อน” (น 161)
การปกครองแบบยกตนข่มท่าน และการเหยียดเชื้อชาติที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นบ่อเกิดของการขบถในปี 1857 อันนำมาสู่วาระสุดท้ายของบริษัทฯในอินเดีย ทหารอังกฤษแย่งดินแดนคืนมาจากฝ่ายขบถด้วยความโหดเหี้ยม ซี่งสอดคล้องกับ “ความกระหายเลือดในสังคมอังกฤษ” (น 164) หลังปี 1858 การปกครองโดยตรงจากราชสำนักอังกฤษ จึงหวนกลับคืนสู่อินเดีย แต่ชาวอินเดียยังต้องจ่ายเงินปันผลให้กับหุ้นของบริษัทฯ ที่สูญพันธุ์ไปแล้วอีกต่อไป ในรูปดอกเบี้ยการโอนหนี้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
รัฐบาลอังกฤษ “ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการที่บริษัทฯเป็นจักรพรรดินิยม” อนุสาวรีย์ของคลีฟกับบริษัทฯ ยังฝังลึกอยู่ในใจของโครงสร้างอำนาจในสหราชอาณาจักรมาจนปัจจุบันนี้” (น 170)
ในสมัยที่ยังรุ่งโรจน์ บริษัทฯได้รับสิทธิให้ปกครองอินเดียได้อย่างเสรี และทุกวันนี้ก็ยังได้รับความเห็นอกเห็นใจ แก้ต่างให้ในรูปนิทรรศการ เพื่อเฉลิมฉลอง ‘คนรวย’ ที่มีรสนิยมในวัฒนธรรมแบบอินเดีย การหวนรำลึกถึงคืนวันของยุคอาณานิคมที่ล่วงผ่านไปแล้ว บวกกับคำพูดของนายกฯ โทนี่ แบลร์ ที่ออกมาเรียกร้องให้คนอังกฤษ เป็น “อเมริกาน้อย” ก็ยังคงทำให้การประเมินความชั่วช้าสามานย์ของบริษัทฯ คลุมเครืออยู่ต่อไป
ร๊อบบิ้นดึงบทเรียนจำนวนมากออกมาจากประวัติของบริษัทฯ ระบบความยุติธรรมที่จะนำมาควบคุมบริษัทต่าง ๆ ที่ก่อความเสียหายให้สังคมและสิ่งแวดล้อม จะต้องได้รับการส่งเสริม ทั้งฝ่ายจัดการและผู้ถือหุ้นควรทำให้ตนมั่นใจได้ว่า ความกระหายใคร่อยากในผลกำไรทางการเงินของตน ไม่ควรเป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใด
บรรดารัฐบาลที่อยู่นอกองคาพยพขององค์การค้าโลก (WTO) จะต้องทำให้มั่นใจว่า การควบรวม การผนวก และการจัดตั้งกลุ่มผูกขาด จะไม่เป็นไปเพื่อบุกตลาดและตัดการแข่งขัน ร๊อบบิ้นสรุปว่า อุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการทำให้ตลาดโลกเป็นประชาธิปไตย และการสถาปนา “ความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติระหว่างตะวันออกกับตะวันตก” คือรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐ ที่คอยปกป้องการกระทำของบริษัทของตนในต่างแดน ด้วยสิทธิสภาพนอกอาณาเขตต่าง ๆ
ในปี 1700 อินเดียกับจีนมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ คิดเป็น 47% ของทั้งโลก ยุโรปมีส่วนแบ่งอยู่เพียง 26% พอมาปี 1870 ยักษ์ใหญ่ของเอเชียทั้งสองมีส่วนแบ่งรวมกัน เหลือเพียง 29% ยุโรปตะวันตกพุ่งขึ้นมาเป็น 42% บริษัทอีสอินเดีย (ทั้ง 2) เป็นเครื่องมือหลักของกระเดื่องโลกในครั้งนั้น แต่ในศตวรรษที่ 21 จีนและอินเดียเริ่มผงาดขึ้นมาในเศรษฐกิจโลก ดังนั้นการติดตามสอดส่องและควบคุมบรรษัทข้ามชาติในตะวันตก จึงเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่ง
The Corporation That Changed the World: How the East India Company Shaped the Modern Multinational by Nick Robins. Pluto Press, London, September 2006. ISBN: 0-7453-2523-8. Price: US$24.95, 218 pages.
27/1/2007
ข้าคือกฎหมาย
การรวมหัวกันเปลี่ยนแปลงโลก โดย นิกค์ ร๊อบบิ้นส์
วิจารณ์โดย ศรีราม โชวลีอา
27/1/2007
บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (British East India Company) มีส่วนต้องรับผิดชอบอย่างสำคัญ ต่อการที่พวกเขาเป็นผู้สร้างโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม นิกค์ ร๊อบบิ้นส์ นักประวัติศาสตร์ได้หยิบเอาการร่วมมือกันในอดีต ใน ‘ยุคแห่งความอิ่มเอิบ’ (the Age of the Enlightenment) มาทบทวนดูใหม่ เพื่อดูว่ามันได้ทิ้งเงามืดเอาไว้ในระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันนี้แบบไหน อย่างไร นี่คือความพยายามที่จะเปิดเผยผลพวงอันชั่วร้ายของมัน เพื่อว่าปฏิสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างตะวันตกกับเอเชียจะได้มีความยุติธรรมขึ้นมาบ้าง
จากศตวรรษที่ 17 ถึง 19 บริษัทอีสอินเดียแห่งอังกฤษก่อให้เกิดมาตรฐาน อันเป็นที่น่าตกตะลึงแห่งยุคสมัย โดยมันได้การละเมิดหลักธรรมาภิบาล ครอบงำตลาดหุ้น และกดขี่ประชาชน (with executive malpractice, stock-market excesses and human oppression) ยิ่งกว่าอาชญากรรมในยุคเรา เช่นกรณี Enron* ร๊อบบิ้นเห็นว่าอีสอินเดียฯทรงอำนาจมากไป และเป็นตัวปัญหา
(*เอ็นรอนเคยเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในเมืองฮุสตัน มลรัฐเทกซัส ถูกฟ้องศาลล้มละลายในปี 2001 ในข้อหาแต่งบัญชีงบดุลบริษัทต่อเนื่องเสมอมา พูดง่าย ๆ คือสร้างบริษัทขึ้นมาจากการหลอกลวง-ต้มตุ๋น ก่อนถูกฟ้องเอ็นรอนมีพนักงาน 21,000 คน เป็นบริษัทชั้นนำของโลกในด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ กระดาษ และการคมนาคมขนส่ง อ้างว่าในปี 2000 มีรายได้ถึง US$111 พันล้านเหรียญ ถูกนิตยสารฟอร์จูนจัดอันดับให้เป็น ‘บริษัทสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดในสหรัฐ’ ติดกันถึง 6 ปี ศาลตัดสินให้ล้มละลาย ราคาหุ้นของบริษัทลดลงจากก่อนถูกฟ้องที่ $90.00 เหรียญ ลงมาเหลือที่ $00.30 เหรียญ)
คาร์ล มาร์กซเรียกมันว่า ‘ผู้ถือตราสารหนี้’ แห่ง ‘ลัทธิบูชาเงินตรา’ ของอังกฤษ กระทั่งอาดัม สมิธ นักเศรษฐศาสตร์ที่มักจะสงสัยในบรรษัทที่ทรงอำนาจ ก็ยังตื่นตระหนกจากการที่อีสอินเดียฯ ‘กดขี่และครอบงำ’ อินเดีย เอ็ดมุนด์ เบอร์เก้* บิดาแห่งลัทธิจารีตนิยมสมัยใหม่ ก็ยังประกาศว่าอินเดีย “ต้องล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิงและไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะถูกบริษัทฯ (อีสอินเดีย) สูบเอาความมั่งคั่งไป”
(*Edmund Burke -1729-1797 รัฐบุรุษแห่งพรรควิก (เก่า) ของอังกฤษ ที่สนับสนุนให้สหรัฐปลดแอกจากอังกฤษ แต่ชิงชังการปฏิวัติฝรั่งเศส เขาได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งฝ่ายจารีตนิยมของสหรัฐ)
บริษัทฯ สถาปนาขึ้นโดยพระราชบัญญัติ ปี 1600 เขตปฏิบัติการครอบคลุมไปตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก ไปถึงอินเดีย ลามผ่านเอเชียอาคเนย์ ขึ้นไปถึงจีนและญี่ปุ่น การปกครองอินเดียแบบอาณานิคมเป็นเพียงแง่หนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักคือการหากำไร และหาเงินปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นที่อยู่ในกรุงลอนดอน
ผลกำไรส่วนตัวคือวัตถุประสงค์หลักของบริษัทฯ ที่ “ทำให้ความมั่งคั่งแต่เดิมที่เคยไหลจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก ย้อนกลับ และทำให้การพัฒนาการของโลกเปลี่ยนทิศ” (หน้า 7) ร๊อบบิ้นออกมาคัดค้านการตีความอดีตของบริษัทฯ โดยใช้แว่นโรแมนติค* ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายอยู่ในอังกฤษในเวลานี้ เพราะการตีความดังกล่าวได้ละเลยการลุแก่อำนาจ ความทุกข์ระทม ความพินาศฉิบหาย และการปล้นชิงที่บริษัทฯ ประทับตราเอาไว้ในอินเดีย ประเด็นของเขาก็คือว่าเราไม่ควรประเมินบทบาทของบริษัทฯ เพราะคุณูปการที่มันบุกเบิกให้โลกตะวันตกได้ไปพบกับอารยธรรมแห่งบูรพาทิศ ซึ่งเป็น ‘เรื่องติดปลายนวม’ แต่ควรประเมินจากการขู่กรรโชก การคอร์รับชั่น และบทบัญญัติที่คุ้มกันไม่ให้มันต้องรับโทษต่างหาก
(*คือแว่นแห่งจินตนาการ แห่งอารมณ์ความรู้สึก)
ตลอดอายุขัยของบริษัทฯ การดำรงอยู่ของมันล้วนขึ้นอยู่กับตัวเลขรายได้ทางศุลกากร และผลรางวัลที่มันนำมามอบให้ ของขวัญและสินบนที่จะต้องนำขึ้นถวายบรรดาเชื้อพระวงศ์และท่านสมาชิกรัฐสภา “รวมอยู่ในค่าดำเนินการของบริษัท” (น 28) ความสัมพันธ์อันดีกับราชามหากษัตริย์และผู้นำคนอื่น ๆ ในเอเชีย มีความสำคัญต่อบริษัทฯมาก เพราะจะช่วยให้ตนเองรักษาการผูกขาดของบริษัทฯเอาไว้
ดังนั้น การมีกองทัพเพื่อเป็นกุญแจไขเข้าสู่ตลาดเอเชีย จึงเป็นสิ่งสำคัญมากของบริษัทฯมาตั้งแต่ต้น ผู้ว่าการของบริษัทฯมักพร่ำถึง “การทำการค้าโดยถือดาบอยู่ในมือ” (น 29) เพื่อบรรลุผลได้ทางเศรษฐกิจ บริษัทฯต้องใช้ ‘คณะกรรมการลับ’ ที่มีอำนาจสูงสุด มาวางแผนการทางยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหารให้ กระทั่งเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า กระทั่งยึดประเทศโดยการพิชิตก็จะทำ บริษัทฯปฏิบัติตามคำขวัญของบริษัทคู่แข่ง ซึ่งก็คือบริษัทอีสอินเดียแห่งเนเธอร์แลนด์ ที่ว่า “เราทำสงครามที่ไม่มีการค้าไม่ได้ จะให้ทำการค้าโดยไม่ใช้สงครามก็ไม่ได้อีกเช่นกัน” (น 40)
สิ่งดึงดูดพวกพ่อค้าที่สังกัดบริษัทฯ คือเครื่องเทศจากดินแดนที่ตอนนี้เรียกกันว่าอินโดนีเซีย คนเหล่านี้จะค้าในคราวจำเป็น และจะปล้นไปทุกที่ที่มีโอกาส” (น 43) เซอร์ โจไซอาห์ ไชลด์* ผู้ว่าการบริษัทฯในช่วงทศวรรษที่ 1680s เป็นผู้เปลี่ยนแปลงบริษัทให้เป็น ‘อำนาจอธิปัตย์’ และเป็น ‘รัฐบาลทหารที่มีอำนาจสูงสุด’ ในอินเดีย
(*พ่อค้า นักเศรษฐศาสตร์ และผู้ว่าการบริษัทอีสอินเดียแห่งอังกฤษ เกิดในตระกูลพ่อค้าเก่าแก่ของกรุงลอนดอน 1630-1699)
การทำสงครามในตอนต้น ๆ ถูกกองทัพราชวงศ์โมกุลตีกลับ แต่หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอุรังก์เซป ในปี 1707 โดยการติดสินบน บริษัทฯได้สิทธิทำการค้าโดยไม่เสียภาษีที่เบงกอล ไฮเดอราบัดและกุตจรัต มันกลายเป็นบริษัทน่าเชื่อถือ (blue chip) ในตลาดเมอร์เคนไทล์ของตลาดหุ้นลอนดอน มาตั้งแต่ปี 1720 รีดกำไรเป็นกอบเป็นกำจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยการร่วมมือกับกลุ่มอำนาจท้องถิ่นในอินเดีย เป็นต้นว่านาปากฤษณะ เทพ
บริษัทฯทำลายฐานรายได้และเศรษฐกิจท้องถิ่นของผู้ปกครองเบงกอล ซึ่งเป็นแคว้นที่มั่งคั่งที่สุดของอินเดียในช่วงปี 1750s โดยแย่งชิงการทำมาหากินของประชากรจำนวนมากที่นั่น การกดดันและการแข่งขันจากหอการค้าคู่แข่งอื่น ๆ ยุโรป เป็นภัยคุกคามฐานะทางการค้าของบริษัทฯ
เมื่อถูกขับออกจากเบงกอล โรเบิร์ต คลีฟ บารอนนักรบของบริษัทฯอาศัยเล่ห์และการสมคบคิด ยกพลขึ้นบก และรบชนะศึกที่ปลาสเซย์ในวันนั้น (1757) ชัยชนะในครั้งนั้นทำให้บริษัทได้เข้าไปคุมคลังสมบัติและตลาดในเบงกอล
หลังจากชนะอีกศึกหนึ่งที่บูซาร์ในปี 1764 แคว้นพิหาร์กับโอริสสาก็ตกไปอยู่ใต้ความปราณีของ ‘บริษัทจอห์น’ และค่อย ๆ ถูกปอกลอกโดยการค้าที่ไม่เป็นธรรมจนเหลือแต่ผ้าขี้ริ้ว จากความเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจ ตอนนี้ช่างทอผ้าของอินเดียถูกบังคับให้เป็นทาส ไม่อาจจะขายสินค้าให้คนอื่นได้ และจำต้องรับค่าจ้างจากบริษัทฯ ที่กำหนดเอาตามอำเภอใจ กองทหารถูกส่งออกไปยึดวัตถุดิบเอามาจากผู้ผลิต รูปแบบการกดขี่ของบริษัทฯ มีทั้งปรับไหม ขังคุก เฆี่ยนตี และจองจำด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ
การเก็งกำไรและการค้าโดยอาศัยข้อมูลวงในของกลุ่มผู้บริหารบริษัทฯขึ้นถึงจุดสุดยอด บริษัทฯเพิกเฉยต่อการคอร์รับชั่น การตั้งกลุ่มผูกขาดการค้าหมาก เกลือ และยาสูบอย่างผิดกฎหมาย และการประเมินราคาการเข้าไปครอบครองวงการต่าง ๆ แบบสูงเกินจริง คลีฟรณรงค์ยึดทรัพย์สมบัติคนรวยไปทั่วทุกชนชั้น และผันกระแสความมั่งคั่งให้ไหลไปทางตะวันตก
บริษัทฯปล่อยอินเดียตะวันออกให้เปราะบางต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก่อให้เกิดทุพภิกขภัยในปี 1770 ที่มีคนตายไปกว่า 1.2 ล้านคน แทนที่จะแจกจ่ายเพื่อบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯกลับขึ้นภาษีและบังคับซื้อผลิตผลเหมือนหนึ่งจะปล้นสะดม ความโหดร้ายป่าเถื่อนและความรุนแรงอย่างสุด ๆ ของบริษัทฯ ในระหว่างเกิดทุพภิกขภัย เป็น “ตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของการใช้มาตรการที่ผิด” (น 94) ความใจไม้ไส้ระกำต่อชีวิตของคนอินเดีย เป็นผลโดยตรงมาจากความเป็นทรราชของบริษัทฯ
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1770s ตอนที่หุ้นของบริษัทฯตกในลอนดอน คนอินเดียอีกหลายล้านคนต้องสังเวยชีวิต หลังจากฟองสบู่แตก รัฐบาลอังกฤษก็แต่งตั้งตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไป เข้าไปควบคุมการดำเนินนโยบายอย่างอิสระของบริษัทฯ ในตอนนั้น แฮรี่ เฟอเรลสต์ ผู้มาแทนที่คลีฟในเบงกอล ถูกพบว่ามีความผิดฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน ในปี 1777 และในปี 1774 ผู้บริหาร 3 ชุดที่รัฐสภาแต่งตั้งพยายามที่จะโค่นวอร์เรน เฮสติ้ง ผู้ว่าการแคว้นเบงกอลของบริษัทฯ ในข้อหาคอร์รับชั่น
อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐก็มีอายุสั้น เฮสติ้งฟันผ่าอุปสรรคออกมาได้ เขาเปิดฉากทำสงครามโดยส่งทหารรับจ้างไปบดขยี้การกบฏของชาวนา คนพื้นเมืองที่ไม่สามารถเสียภาษีมหาโหดได้ถูกสังหาร หรือไม่ก็ “ถูกล่ามไว้ในกรงเปิด” สิทธิของผู้ผลิตชาวอินเดีย กระทั่งที่เป็นสิทธิในทางจารีตประเพณีถูกลิดรอน จนกระทั่งความสามารถทางการผลิตในแคว้นเบงกอลลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ การใช้จ่ายทางทหารแบบไม่บันยะบันยังรีดเลือดหยดสุดท้ายออกจากเศรษฐกิจอินเดียที่กำลังตกเลือด
การปล้นสะดมและการเผาทำลายหมู่บ้านชาวอินเดียเป็นที่นิยมมากของบริษัทฯ เบอร์เก้ทำการสอบสวนเฮสติ้งอยู่นานถึง 7 ปี และระบบศาลยุติธรรมที่อยุติธรรมของอังกฤษก็ออกมาบอกว่า คดีนี้ว่าความไปก็ไร้ประโยชน์ เฮสติ้งแก้ต่างว่าอินเดียเป็นดินแดนที่ล้าหลังและป่าเถื่อน ต้องใช้ความยุติธรรมในระดับที่ต่างออกไป ซึ่งจับใจแนวคิดพวกนิยมจักรวรรดิ (Pax Britannica) ยิ่งนัก ผลก็คือความหยิ่งผยองและเลือดรักชาติแบบจักรพรรดินิยม ก็เข้ามาแทรกแซงความพยายามที่จะเอาผิดบริษัทฯ
ลอร์ด คอนวอลลิส ผู้สืบตำแหน่งต่อจากเฮสติ้ง นำระบบเจ้าที่ดินในอังกฤษไปใช้ในอินเดีย และสร้างชนชั้นผู้ดีชนบททางการเมือง (ซามินดาร์) ขึ้นมาสนับสนุนกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ เจ้าของที่ดินรายเล็ก ๆ 20 ล้านคนไม่ได้รับสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินของตน “คนอินเดียไม่เหมือนชาวยุโรปหรือคริสเตียน จึงให้ถือเป็นพลเมืองชั้นสอง ให้ถือพวกมันเป็นดั่งทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่มนุษย์สังกัดชุมชน” (น 140)
ในช่วงศตวรรษที่ 19 บริษัทฯ เพิ่มปฏิบัติการทางทหารมากขึ้น กำลังทหารของบริษัทฯขยายตัวขึ้นเป็น 10 เท่า ลอร์ด เวลเลสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ว่าการทั่วไปก่อนปี 1805 มีความกระหายในเขตแดนและป้อมทหารเป็นพิเศษ ก็เข้าปล้นสะดมทรัพย์สมบัติของอินเดีย และลำเลียงขึ้นเรือ ส่งไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์และคฤหาสน์ต่าง ๆ ในชนบทของอังกฤษ ที่มะละบาร์ มีการขึ้นอัตราภาษี และที่ดินทำสวนถูกตัวแทนของบริษัทฯบุกเข้ายึด
กรรมกรและเด็ก ๆ ถูกลักพา “เอาผ้ายัดปาก” พาไปทำสวนเยี่ยงทาส (น 144) การก่อกบฏถูกบดขยี้โดยกำลังของบริษัทฯ ถึงขนาดออกมาประกาศว่า “ยิ่งเผาหมู่บ้านมากแห่งเท่าใด เราก็สามารถยึดวัวควายและทรัพย์สินของพวกมันได้มากขึ้น ก็จะยิ่งดีขึ้น” (น 145) พอมาถึงปี 1820 สัญชาติญาณทางทหารก็ขึ้นถึงขีดสุด บริษัทฯไม่สนใจบ่าวไพร่ หรือโอกาสทางธุรกิจอีกต่อไปแล้ว
ในทศวรรษที่ 1830s เมื่อการค้าเปิดเสรี และผู้ประกอบการชาวอังกฤษหน้าใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น บริษัทฯก็สูญเสียการผูกขาด เพื่อชดเชยสิ่งที่เสียไป การขายชาในจีนต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า และจ่ายเป็นฝิ่นที่ลักลอบเข้ามาขาย ความจำเป็นที่ต้องผูกขาดการปลูกฝิ่นในอินเดีย เพื่อแพร่พิษร้ายของมันเข้าไปในจีน ทำให้บริษัทฯต้องทำสงครามกับแคว้นมารัตและสินธุ์ เพื่อเปิดบรรพใหม่ของลัทธิอาณานิยมในเอเชีย บริษัทฯยังส่งความช่วยเหลือทางทหารไปช่วยกองทัพอังกฤษรบกับจีนในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ในปี 1842 ผลประโยชน์การค้าฝิ่นแบบจักรพรรดินิยมเป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้กับความชั่วช้าสามานย์ที่เห็นกันอยู่โต้ง ๆ ให้สาธารณชนในอังกฤษเอง
ในปีท้าย ๆ ในอินเดีย บริษัทฯได้แรงหนุนจากความเหนือกว่าของอารยธรรมตะวันตก ก่อให้เกิดความหยิ่งผยองในอำนาจ บรรดาเจ้าหน้าที่บริษัทฯเริ่มแสดงการเหยียดผิว และใช้คำพูดเสียดสีต่าง ๆ เช่นในยุค 1840s และ 1850s มีการเอาคือว่า “ไอ้มืด” (nigger) มาเรียกคนอินเดีย จอห์น สจ๊วร์จ มิลล์ สมาชิกผู้ซื่อสัตย์ต่อบริษัทฯ มาตลอดเวลา 30 ปี จับเอาเผด็จการในอินเดียมาแต่งหน้าเค้ก โดยบอกว่าบริษัทฯ “กำลังให้การศึกษา และมันเป็นรูปแบบของรัฐบาลที่ชอบแล้ว ในการจัดการกับพวกคนป่าเถื่อน” (น 161)
การปกครองแบบยกตนข่มท่าน และการเหยียดเชื้อชาติที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นบ่อเกิดของการขบถในปี 1857 อันนำมาสู่วาระสุดท้ายของบริษัทฯในอินเดีย ทหารอังกฤษแย่งดินแดนคืนมาจากฝ่ายขบถด้วยความโหดเหี้ยม ซี่งสอดคล้องกับ “ความกระหายเลือดในสังคมอังกฤษ” (น 164) หลังปี 1858 การปกครองโดยตรงจากราชสำนักอังกฤษ จึงหวนกลับคืนสู่อินเดีย แต่ชาวอินเดียยังต้องจ่ายเงินปันผลให้กับหุ้นของบริษัทฯ ที่สูญพันธุ์ไปแล้วอีกต่อไป ในรูปดอกเบี้ยการโอนหนี้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
รัฐบาลอังกฤษ “ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการที่บริษัทฯเป็นจักรพรรดินิยม” อนุสาวรีย์ของคลีฟกับบริษัทฯ ยังฝังลึกอยู่ในใจของโครงสร้างอำนาจในสหราชอาณาจักรมาจนปัจจุบันนี้” (น 170)
ในสมัยที่ยังรุ่งโรจน์ บริษัทฯได้รับสิทธิให้ปกครองอินเดียได้อย่างเสรี และทุกวันนี้ก็ยังได้รับความเห็นอกเห็นใจ แก้ต่างให้ในรูปนิทรรศการ เพื่อเฉลิมฉลอง ‘คนรวย’ ที่มีรสนิยมในวัฒนธรรมแบบอินเดีย การหวนรำลึกถึงคืนวันของยุคอาณานิคมที่ล่วงผ่านไปแล้ว บวกกับคำพูดของนายกฯ โทนี่ แบลร์ ที่ออกมาเรียกร้องให้คนอังกฤษ เป็น “อเมริกาน้อย” ก็ยังคงทำให้การประเมินความชั่วช้าสามานย์ของบริษัทฯ คลุมเครืออยู่ต่อไป
ร๊อบบิ้นดึงบทเรียนจำนวนมากออกมาจากประวัติของบริษัทฯ ระบบความยุติธรรมที่จะนำมาควบคุมบริษัทต่าง ๆ ที่ก่อความเสียหายให้สังคมและสิ่งแวดล้อม จะต้องได้รับการส่งเสริม ทั้งฝ่ายจัดการและผู้ถือหุ้นควรทำให้ตนมั่นใจได้ว่า ความกระหายใคร่อยากในผลกำไรทางการเงินของตน ไม่ควรเป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใด
บรรดารัฐบาลที่อยู่นอกองคาพยพขององค์การค้าโลก (WTO) จะต้องทำให้มั่นใจว่า การควบรวม การผนวก และการจัดตั้งกลุ่มผูกขาด จะไม่เป็นไปเพื่อบุกตลาดและตัดการแข่งขัน ร๊อบบิ้นสรุปว่า อุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการทำให้ตลาดโลกเป็นประชาธิปไตย และการสถาปนา “ความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติระหว่างตะวันออกกับตะวันตก” คือรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐ ที่คอยปกป้องการกระทำของบริษัทของตนในต่างแดน ด้วยสิทธิสภาพนอกอาณาเขตต่าง ๆ
ในปี 1700 อินเดียกับจีนมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ คิดเป็น 47% ของทั้งโลก ยุโรปมีส่วนแบ่งอยู่เพียง 26% พอมาปี 1870 ยักษ์ใหญ่ของเอเชียทั้งสองมีส่วนแบ่งรวมกัน เหลือเพียง 29% ยุโรปตะวันตกพุ่งขึ้นมาเป็น 42% บริษัทอีสอินเดีย (ทั้ง 2) เป็นเครื่องมือหลักของกระเดื่องโลกในครั้งนั้น แต่ในศตวรรษที่ 21 จีนและอินเดียเริ่มผงาดขึ้นมาในเศรษฐกิจโลก ดังนั้นการติดตามสอดส่องและควบคุมบรรษัทข้ามชาติในตะวันตก จึงเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่ง
The Corporation That Changed the World: How the East India Company Shaped the Modern Multinational by Nick Robins. Pluto Press, London, September 2006. ISBN: 0-7453-2523-8. Price: US$24.95, 218 pages.
27/1/2007