เอเอฟพี - การประกาศของเกาหลีเหนือ วันนี้ (9) ว่า ได้ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งแรกด้วยความสำเร็จแล้ว น่าจะเป็นแรงผลักดันให้ญี่ปุ่นขยายแสนยานุภาพทางทหารของตน อีกทั้งยังเพิ่มแรงกระตุ้นให้แก่การถกเถียงในหัวข้อซึ่งครั้งหนึ่งถือเป็นเรื่องต้องห้ามสูงสุด นั่นคือ แดนอาทิตย์อุทัยควรจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองหรือไม่
การทดลองของโสมแดงบังเกิดขึ้น ขณะที่ญี่ปุ่นก็อยู่ในช่วงเดินหน้าขยายกำลังรบ ภายหลังพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และถูกสหรัฐฯบังคับให้ประกาศที่จะไม่ใช้สิทธิในการมีกำลังทหาร ผ่านพ้นมาได้ราว 60 ปี
นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ผู้เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งมาได้แค่ 2 สัปดาห์นั้น ถือเป็น “เหยี่ยว” ตัวจริงขนานแท้ในการดำเนินนโยบายต่อเกาหลีเหนือ อีกทั้งเป็นผู้สนับสนุนมายาวนานให้กองทหารญี่ปุ่นมีบทบาทเพิ่มขึ้น เคียงคู่ไปกับพันธมิตรสำคัญที่สุดอย่างสหรัฐฯ
พวกนักวิเคราะห์ต่างคาดหมายกันว่า การทดลองของเกาหลีเหนือคราวนี้ จะเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่จุดยืนของอาเบะ ซึ่งต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ร่างขึ้นในปี 1947 ขณะญี่ปุ่นยังถูกสหรัฐฯยึดครองภายหลังแพ้สงคราม จึงมีข้อความเน้นความเป็นชาติรักสันติอย่างยิ่ง ทั้งนี้ จุดสำคัญจุดหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่นายกฯใหม่ ผู้นี้ อยากให้เปลี่ยนแปลงก็คือ เปิดทางให้กองทหารญี่ปุ่น เข้าไปร่วมการปฏิบัติการในต่างแดน เคียงข้างกับทหารพันธมิตรทั้งหลาย
อันที่จริงแม้ญี่ปุ่นจะเน้นเรื่องรักสันติ อีกทั้งมีสหรัฐฯคอยรับประกันที่จะพิทักษ์คุ้มครอง แต่ในเวลานี้แดนอาทิตย์อุทัยก็มีกำลังทหารประจำการราว 240,000 คน และตั้งงบประมาณทางการทหารในระดับปีละ 4.81 ล้านล้านเยน (41,600 ล้านดอลลาร์)
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยทางการแล้วจะยังคงรักษาฐานะการเป็นชาติรักสันติ ทว่าจะยอมรับว่าญี่ปุ่นนั้นมีกองทัพ ไม่ต้องเลี่ยงไปเรียกเป็น “กองกำลังป้องกันตนเอง” เหมือนดังปัจจุบัน
เชื่อกันว่า ญี่ปุ่นมีศักยภาพที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างไม่ยากเย็น หากตัดสินใจทางการเมืองที่จะทำเช่นนั้น
แต่นั่นย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงมากทีเดียวสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งยังคงเป็นชาติเดียวในโลกที่เคยสูญเสีย เพราะถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และได้รณรงค์เพื่อกำจัดอาวุธปรมาณูมานานปีแล้ว
ทั้งนี้ ประมาณกันว่า มีประชาชนกว่า 210,000 คน เสียชีวิตไปในปี 1945 เมื่อกองทัพสหรัฐฯทิ้งระเบิดปรมาณู ทำให้เมืองฮิโรชิมา และ นางาซากิ พังพินาศย่อยยับ
โยชิโนบุ ยามาโมโต ศาสตราจารย์ด้านการเมืองระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยอาโอยามะ กาคุอิน ชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออก จะเกิดการแข่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อใช้เป็นไม้เด็ดในการป้องปรามซึ่งกันและกัน
“ถึงแม้ขีปนาวุธของโสมแดงยิงไปไม่ถึงสหรัฐฯ แต่มันสามารถเล็งใส่และทำลายญี่ปุ่นได้อย่างสบาย” เขาชี้
อดีตนายกรัฐมนตรี เอซากุ ซาโตะ ได้เคยเสนอเมื่อทศวรรษ 1960 ให้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตอนที่จีนได้สร้างระเบิดนุกขึ้นมา ทว่าจุดยืนของเขาถูกบอกปัดจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้แผ่ร่มป้องกันนิวเคลียร์ให้แก่แดนอาทิตย์อุทัย
เมื่อเร็วๆ นี้เอง นิตยสารฉบับหนึ่งที่ออกในปีนี้ได้อ้างว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ ทาโร อาโซะ กำลังบอกกับรองประธานาธิบดี ดิก เชนีย์ ของสหรัฐฯ ว่า ญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ หากเกาหลีเหนือเดินหน้าโครงการนุก ถึงแม้พวกผู้ช่วยของอาโซะพากันออกมาปฏิเสธรายงานข่าวนี้กันยกใหญ่