ความที่สไตล์การร้อยแก้วของแดน บราวน์ อาจจะติดมาถึงผม เป็นอันตรายที่ผมไม่ยอมหยิบนวนิยายเรื่อง The Da Vinci Code ของเขามาอ่าน และก็ไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ด้วย แต่ในปี 1982 ผมเคยอ่านเรื่องตลกระดับบัดซบแบบนี้เรื่องหนึ่ง ชื่อ The Holy Blood and the Holy Grail คนเขียนไม่ได้ผูกเรื่องเป็นแบบนิยาย แต่เป็นการเสนอข้อมูลดิบ ผมเลยไม่ต้องกระโดดลงไปแหวกว่ายในท่อน้ำทิ้งซ้ำสอง เหตุที่ขยะพรรค์นี้ได้กลายเป็นนวนิยายขายดีที่สุดในโลก เป็นการยืนยันถึงระดับความศรัทธาแน่วแน่ของชาวคริสต์ในสหรัฐอเมริกา ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ศรัทธาในคริสต์ศาสนา (มีกระแสสูง) เฟื่องกลับขึ้นมาอีกครั้ง ก็เกิดคำถามว่า ทำไมนวนิยายอเมริกันเรื่องนี้ จึงออกมาแฉว่าคริสต์ศาสนาเป็นเรื่องหลอกลวง เรื่องนี้ผู้อ่านต้องใช้ความระมัดระวังให้มากเอาไว้ เราต้องควรทราบว่า ชาวอเมริกันอพยพโยกย้ายกันเป็นกะบิ หนีความเชื่อแบบโปรเตสแตนท์สายหลัก หันมารับนับถือพระในนิกายอีแวนเจลิค* ที่เทศนาเน้นเรื่องพระเยซูถูกตรึงกางเขนจริง และสอนให้คนไถ่บาปแบบชั่วนิรันดร แต่ชาวอเมริกันก็ดูหนังลามกด้วยครับ นี่เป็นเรื่องจริง บางคนอาจจะจัดประเภทงานของบราวน์ เป็นงานประเภทลามกทางศาสนาแบบหนึ่งก็ได้ แต่เรื่องของเรื่องยังมีมากกว่านี้
(*ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจของพระสันตะปาปาในกรุงโรม แต่นิกายอีแวนเจอลิคแยกตัวออกมา และสอนให้เชื่อแต่คำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อว่าจะล้างบาปเป็นการถาวรได้ ก็ด้วยการโปรดของพระเยซูเท่านั้น)
เพื่อเข้าใจในความนิยมของชาวคริสต์ ที่มีต่อเรื่อง The Da Vinci Code เราต้องเปรียบเทียบปฏิกิริยาของชาวคริสต์ กับของชาวมุสลิม ที่มีต่อนวนิยายที่โจมตีใส่รากเหง้าของความศรัทธาของพวกเขา นวนิยายของซัลมาน รัชดี เรื่อง The Satanic Verses (วาทะแห่งปีศาจ) ภาคภาษาอังกฤษ มียอดพิมพ์ใกล้เคียงกับของบราวน์ ซึ่งมียอดพิมพ์มากกว่า 60 ล้านฉบับ และมีคนอเมริกันคริสเตียนจำนวนมาก ที่ทั้งอ่านหนังสือและควบดูหนัง แต่มีชาวมุสลิมน้อยคนนักที่จะได้อ่านงานของรัชดี ทุกวันนี้ รัชดียังหลบหนีการถูกตามฆ่า แต่ไม่มีพวกคลั่งศาสนาคริสต์คนไหน คิดจะลงเอากับบราวน์
สำหรับเรื่องแบบนี้ ที่น่าประหลาดคือ The Da Vinci Code ภาคยิว ใคร ๆ ก็รู้ว่าศาสนายูดาห์มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่ไม่ค่อยมีเรื่องลึกลับ อย่างไรก็ดี ชาวยิวก็ยังติงว่า โมเสสขึ้นไปรับเพนตาตุ๊ก* มาจากพระเจ้าบนภูเขาไซนาย หรือแอบเขียนขึ้นมาเอง แต่ประเด็นนั้นก็ไม่แพร่หลายนัก
(*คัมภีร์ไบเบิล 5 เล่มแรก ที่เชื่อกันว่าโมเสสเขียนขึ้น)
แล้วถ้าหากอารักษ์ในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์สมภพ เขียนคัมภีร์โตราห์* ขึ้นแทนหละ ถามว่าพวกเขาไม่มีแรงดลใจ แบบเดียวกับโมเสสบ้างเลยหรือไร ? มีอยู่คราวหนึ่งผมไปถามเด็กยิวคนหนึ่งว่า “เธอรู้ได้อย่างไรว่า พระเจ้าทรงนำเธอออกมาจากอียิปต์ ?” ก่อนที่ผมจะทันจบประโยค เธอก็ตอบกลับมาในทันใดนั้นว่า “ก็ถ้าพระเจ้าไม่พาหนูออกมาจากอียิปต์ แล้วหนูจะมายืนพูดอยู่กับลุงแบบนี้ ได้หรือคะ ?”
(*คัมภีร์โตราห์ที่เป็นหลักในศาสนายูดาห์ ก็คือคัมภีร์ 5 เล่มแรกของโมเสสนั่นเอง)
แต่ตี๋ต่างว่าพระเยซูไม่ได้สวรรคตบนไม้กางเขน แถมทรงอภิเษกสมรสกับแมรี่ แมกดาลีน และทรงมีสายพระโลหิตสืบต่อลงมาเป็นขุนนางฝรั่งเศส พันธะสัญญาที่ให้ไว้แก่ชาวคริสต์ทั้งผอง มิเป็นอันต้องสูญสลายมลายไปดอกหรือ พูดกันตรง ๆ ตัวของศาสนาคริสต์ก็คือพันธะสัญญา สัญญาแห่งการมีชีวิตนิรันดร สัญญาแบบนี้จึงพร้อมที่จะถูกสงสัยท้าทายได้อยู่แล้วเป็นธรรมดา หน้าที่ชาวคริสต์คือต้องถอดตัวออกจากร่าง นั่นคือต้องปลอดพ้นจากบาป คือถอดชาติจากความเป็นชาวคริสต์ (gentile-เจนไทล์) แล้วไปเกิดใหม่เป็นคนของพระเจ้า
พวกเขาไม่เหมือนชาวยิว ที่ถือตัวเองเป็น ‘คนของพระเจ้า’ อยู่แล้ว ไม่ว่าเขาคนนั้นจะขี้ทูดกุฏฐังอย่างไร ๆ ก็ตาม แต่ชาวคริสต์ไม่เคยเห็น หรือแน่ใจว่าตัวเป็นคนของพระเจ้า หรือกระทั่งไม่รู้เลยว่า เนื้อตัวของพวกเขาได้แปรรูปไปเป็น ‘ทิพย์’ หรือไม่ เมื่อไหร่ อย่างไร ยกเว้นแต่คนส่วนน้อย ที่บังเอิญได้มีโอกาสเห็นพระเยซูฟื้นพระชนม์ชีพ ส่วนพวกที่เหลือล้วนไม่รู้จริงว่า พระเยซูจะทรงรับพวกเขาเอาไว้ในอาณาจักรของพระองค์หรือไม่ นอกจากต้องคงมั่นในศรัทธาเอาไว้ (แต่มาคิดดูอีกที) หากชาวคริสต์ไม่ต้องต่อกรกับความกังขาใด ๆ เหมือนอย่างจาคอบเห็นนางฟ้าที่ฝั่งน้ำ* ความศรัทธาก็จะไร้ค่า หมดราคา
(*คิดถึงตอนพรานบูรณ์แอบดูเหล่านางกินรีเล่นน้ำ)
ในสังคมที่อุดมด้วยจารีตประเพณี ที่ทั้งชีวิตและความคิดอ่านของปัจเจกชน ฝังรากอยู่ในชุมชนที่มั่นคงแล้ว ความสงสัยมักไม่ค่อยกล้าโผล่หน้าขึ้นมา แต่โลกของคริสตจักรไม่เคยได้อบอุ่นอยู่ในชุมชนจารีตแบบนั้นเลย ในสังคมทันสมัย ศาสนาทุกชนิดเป็นเพียงศาสนาประจำใจ เฉพาะของใครโดด ๆ คนนั้น ไม่ได้เป็นภารกิจของชุมชนอีกต่อไป ความสงสัยจึงหดแคบลงมาอยู่เฉพาะในหัวของคน ๆ นั้น พวกเขาจึงต้องไปขอคำรับรองจากสาธารณะ (เขียนและมีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ‘สาธารณ์’) หากเราจะเปรียบไปแล้ว สามีในสมัยวิกตอเรีย* ก็ซื่อสัตย์ต่อภรรยาตัว พอ ๆ กับสามีชาวอังกฤษในสมัยนี้ เพราะสถิติบอกออกมาแล้วว่า จำนวนโสเภณีในกรุงลอนดอน คิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรที่เป็นหญิงในมหานครแห่งนั้น มาตลอดครึ่งหนึ่งของศตวรรษที่ 19
(*พระนางเจ้าวิกตอเรีย ปกครองอังกฤษระหว่างปี 1837-1901)
อย่างไรก็ดี คนในสมัยวิกตอเรียมีโอกาสดูหนังลามกน้อยมาก เพราะหาไม่ค่อยได้ ข้อเท็จจริงที่ว่าสามีสมัยใหม่เข้าถึงสื่อลามกได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า พวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อภรรยาน้อยกว่า ชาวคริสต์ที่อ่าน The Da Vinci Code ก็มีความรู้สึกมักมากในเชิงกาม (กระสัน) เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ดึงดูดพวกเขาไปดูหนังลามกเช่นกัน คือมันยอมให้พวกเขาตั้งคำถามกับ ‘ศรัทธาที่เป็นสรณะ’ เช่นเดียวกับที่ของสุด ๆ พรรค์นั้น (hardcore) ที่ยอมให้พวกเขาตั้งข้อสงสัยต่อ ‘การมีผัวเดียวเมียเดียวที่เป็นสรณะ’
พวกที่ส่งเสริม "Gnostic Gospels"* ก็ฉวยเอา The Da Vinci Code มาปีนกระไดคำสอนของพวกตนที่ว่า ที่จริงพระเยซูก็คือ ‘พระครู’ ธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ ‘พระบุตรของพระเจ้า’ มาจากไหน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังสงสัยว่านวนิยายของบราวน์ จะไปทำอะไรกับชาวคริสต์ ที่เคร่งขนาดอุทิศพลีกายได้สักแวบหรือไม่ เรื่องนี้ก็อีหรอบเดียวกับคำถามเชิงการดำรงอยู่** ที่ว่า หากชาวยิวถือว่าการดำรงอยู่ตน เป็นเครื่องพิสูจน์ทราบการมีอยู่ของคัมภีร์ชาวฮิบรู การดำรงอยู่ของชาวคริสต์ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์พันธะสัญญาของพระเยซูเช่นกัน
(*นอสติค กอสเพล คือขบวนการทางศาสนา ก่อนหน้ายุคพระคริสต์ ที่สอนให้คนศึกษาเรียนรู้สิ่งศักดิสิทธิ์ เพื่อช่วยให้พ้นบาป
**Extistential argument - การที่ผู้เขียนใช้ ‘E ใหญ่’ เป็นเพียงการเล่นคำในประโยค เพื่อให้เกี่ยวเนื่องไปถึงปรัชญาแบบ Existentialism ซึ่งเน้นที่การดำรงอยู่ของผู้คน
ลัทธิเอกซิสเตนเชียลลิสม์ เป็นการเคลื่อนไหวเชิงปรัชญาในศ.20 ที่บอกว่า สรรพวัตถุในจักรวาลนี้ไม่มีผลใด ๆ ต่อปัจเจกชน การดำรงอยู่ การตัดสินใจ และกระทำการใด ๆ ของคน เป็นเรื่องส่วนตัว ที่คน ๆ นั้นต้องรับผิดชอบเองทั้งสิ้น)
ไม่มีผู้ใดเข้ารีตคริสต์เพราะคำสอนมีเหตุผลดอกครับ เช่นมีการบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักโลกมาก กระทั่งพระองค์ทรงเซ่น (sacrificed) พระบุตรในสายโลหิต ลงมากอบกู้เอาไว้ นั่นก็เป็นข้ออ้างที่ลอกเอามาจากพวกยิวที่อ้างว่า ‘พระผู้สร้าง’ (creator of all) ผู้ทรงห่มจักรวาลดั่งภูษา ทรงอดจะสงสารความทุกขเวทนาของบรรดาแมงมดแมงเม่า ที่พระองค์สร้างขึ้นไม่ได้
ชาวคริสต์รู้ว่า หากการฟื้นพระชนม์ชีพของพระเยซูเป็นเรื่องโกหกแล้ว ก็จะไม่มีการรับศีลก่อนตาย ขบวนการนอสติก หรือขบวนการทางศาสนาก่อนพระคริสต์ สอนไปอีกอย่าง ใครที่อยากได้การผ่อนคลายในโลก ควรรู้ว่าตัวต้องหันไปหาทางไหน ส่วนใครคิดจะสู้กับความตาย ก็ต้องรู้ว่าตัวต้องหันไปที่ใด
หากศรัทธาของชาวคริสต์ไม่ฟื้นกลับมามากเท่านี้ ก็คงไม่มีใครสนใจหนังสือของบราวน์ขนาดนี้ดอก ผู้คนดูโผเผอยู่ในข้อกังขา ก็เพียงเพราะพวกเขาเอาศรัทธามาเป็นที่ตั้ง ในปี 1975 อันเป็นช่วงที่ศาสนกิจทางศาสนาในสหรัฐ ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามมา โรเบิร์ต ลัดลัม ตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง The Gemini Contenders หนังสือสะยองขวัญ มีเนื้อหาแบบเดียวกันนี้ คือเป็นเรื่องลับลมคมใน (conspiracy) ของคริสตจักรคาธอลิค ที่พยายามปกปิดข้อพิสูจน์ที่ว่าพระเยซูไม่ใช่เทพ ก็ขายดีครับ แต่ไม่เท่านวนิยายของบราวน์ เห็นได้ว่าบราวน์ได้ประโยชน์ทางอ้อม จากการที่ตอนนี้ชาวอเมริกัน มีศรัทธาทางศาสนาฟื้นขึ้นมานั่นเอง
เรื่องนี้เพียงพอจะให้คำตอบว่า ทำไมข้อเขียนแบบเยิ่นเย้อสั่ว ๆ แบบนี้ จึงทำให้เกิดสภาพไฟไหม้ฟาง ขึ้นในประเทศที่เป็นชาวคริสต์ได้ แต่ยังไม่พอจะอธิบายว่า ทำไมข้อเขียนบ้องตันชิ้นนี้ (The Da Vinci Code) จึงประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่านี้
เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ก็มีเรื่องลับลมคมในแบบนี้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง The Three Musketeers ของอเลกซานเดอร์ ดูมาส์ ดูก็ได้ มันเป็นนวนิยายที่สร้างให้พระราชาคณะริเชลิว สมุหนายกของฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 17 มีเรื่องลับลมคมใน แต่ในความเป็นจริง ตัวท่านกับบาดหลวงโยเซฟ ดู ตรองบเลย์ หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของท่าน ร่วมมือกันแปรสงครามศาสนาในเยอรมนี ให้กลายเป็นสงครามสามสิบปี (ดู The sacred heart of darkness, Asia Times Online, February 11, 2003) ที่บดขยี้ประชากรที่พูดเยอรมันในยุโรปส่วนใหญ่ลง และทำให้ฝรั่งเศส กลายเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียวในภาคพื้นยุโรป
บาดหลวงดู ตรองเบลย์ หรือ ‘หลวงพ่อเทา’ ("Gray Eminence") เดินตีนเปล่าไปทั่วยุโรป ในชุดเสื้อคลุมคาปูชิน* เพื่อปลุกปั่นและล่อหลอกผู้นำในยุโรปตอนนั้น เจ้าแห่งรหัสลัทธิผู้ไม่ยอมให้ตัวพ่ายแพ้ ‘หลวงพ่อเทา’ เป็น 007 ที่สั่นสะเทือนประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เรายังรู้สิ่งที่ท่านได้ทำไปไม่หมด บุคคลเหล่านี้มีภาพพจน์ที่เหนือจินตนาการของคนธรรมดาสามัญมากนัก เพราะพวกเขามีพรสวรรค์ ที่สามารถเข้าใจจุดอ่อนของมนุษย์ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีน้อยคนนักจะเข้าใจ แม้แต่ฟรีดริช ชิลเลอร์ ผู้เขียนบทละครไตรภาค เรื่อง Wallenstein ที่ว่าด้วยสงครามสามสิบปี ก็ยังหยั่งไปไม่ครบถึงบทบาทของท่าน ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมของฝรั่งเศส ในการปลุกปั่นให้เกิดสงครามครั้งนี้
(*Capuchin gown เสื้อคลุมยาวมีฮู๊ดคลุมหัว ดูลึกลับเหมือนเสื้อคลุมของปีศาจหัวกะโหลก)
ความขี้เท่อของบราวน์ เปรียบกับอเลกซานเดอร์ ดูมาส์แล้วแย่กว่ามาก แต่ทั้งสองก็คล้าย ๆ กัน ประวัติศาสตร์ของศาสนจักรโรมันคาธอลิค เป็นเรื่องน่าเศร้านัก พูดให้ถึงที่สุดก็คือว่า รอยมลทินที่อยู่ภายในนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพรั่นพรึง มันเป็นโศกนาฏกรรมของยุโรป ดังที่ฮิลแลร์ เบลล็อก* ว่าไว้ว่า “ยุโรปคือศรัทธา ศรัทธาคือยุโรป” ยุโรปถูกสร้างขึ้นจากพวกเยอรมัน ไวกิ้ง สลาฟ แมกยาร์** และอื่น ๆ ที่รุกรานและปล้นฆ่าล้างผลาญ แย่งชิงดินแดนเหล่านี้มาจากพวกโรมัน ที่เคยปกครองยุโรปมาตั้ง 800 ปี คริสตจักรเป็นผู้นำพันธะสัญญามาให้พวกเขา รวมทั้งพวกยิวที่นำความหวัง และวิถีชีวิตแบบปากัน*** มาให้ ฝ่ายปากันชนะ พร้อมด้วยผลลัพธ์ที่น่าสยดสยอง
(*นักประพันธ์อังกฤษที่เกิดในฝรั่งเศส (1870 -1953) เขียนเรื่อง Cautionary Tales for Children (1907) และประวัติบุคคลสำคัญเช่นนโปเลียน (1932)
**พวกแมกยาร์คือชาวฮังการี
***pagan คือพวกนอกรีต ในที่นี้คือพวกที่ไม่ได้ถือศาสนาคริสต์)
ประชาชนชาวยุโรปไม่สามารถแยกแยะความความที่ตัวเป็นคาธอลิค กับความรู้สึกแบบทั้งรักทั้งชังต่อเชื้อชาติของตนได้โดยง่าย ทั้ง ๆ ที่โปแลนด์มีพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 แต่โปแลนด์ก็ยังเป็นสมรภูมิสู้รบกัน ระหว่างลัทธิชาตินิยมปากัน-ใหม่ ที่แผ่ซ่านอยู่ในคริสตจักรของโปแลนด์ กับวิสัยทัศน์แบบสากลนิยมของคริสต์ศาสนาของพระสันตะปาปา ผู้สิ้นพระชนม์ไปแล้วพระองค์นั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว พระสันตะปาปาเบเนดิกท์ ที่ 14 ไปเยือนสถานที่ตั้งของค่ายกักกันชาวยิวที่เอาชวิทซ์ แต่ถูกฝูงชนปิดถนนเพื่อโจมตีประมุขรับไบ*แห่งโปแลนด์ ที่พระสันตะปาปาทรงนิมนต์มาสวดในพิธี สำนักวาติกันเองก็ไม่สามารถปราบปรามสถานีวิทยุ Radio Maryja ของพวกชาตินิยม ที่ออกอากาศต่อต้านชาวยิวได้ พูดง่าย ๆ คือฆ่ามะเร็ง แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้ได้ คนไข้ในที่นี้คือเอกลักษณ์ความเป็นโปแลนด์ของคริสตจักรที่นั่น
(*หัวหน้าอาจารย์ยิวในโปแลนด์ อาจารย์ในที่นี้ทำหน้าที่คล้าย ๆ ดาโต๊ะในศาสนาอิสลาม)
ศาสนาของพวกปากันคือเคารพบูชาตัวเอง คาธอลิคแบบปากัน-อีแอบ (crypto-pagan Catholic*) ก็เหมือนนาซิสซัส** คือคุกเข่าจ้องพระรูปของพระเยซู พระแม่มารี และนักบุญคนอื่น ๆ แต่ไพล่ไปสวดมนตร์บูชาตัวเอง เพื่อหันเหสายตาของพวกปากันที่มาเข้ารีต ที่ยังจับจ้องอยู่แต่เชื้อชาติที่สามาลย์ของตน (their earthly ethnicity) ให้หันขึ้นฟ้าหาอาณาจักรของพระเจ้าบนสรวงสวรรค์เสียบ้าง ศาสนจักรจึงออกไปเรียกระดมศิลปินผู้ยิ่งใหญ่มาใช้งาน ก็เหมือนอย่างที่ผมเขียนลงไปในเรื่อง Why the beautiful is not the good (May 17, 2005) และตัดตอนมาดังนี้
(*คือพวกคอธอลิคที่แอบซ่อนความเป็นพวกนอกรีตของตนเอาไว้
** เด็กหนุ่มชาวกรีกในเทพนิยาย ที่ถูกเทพเอ็กโคแห่งความรัก สาปให้หลงรักเงาตัวเองที่ปรากฏบนผิวน้ำในบ่อ เขาจ้องรูปนั้นจนตาย เพราะความหิว แล้วเกิดใหม่เป็นดอกนาซิสซัส ที่ชอบขึ้นอยู่ตามชายน้ำ)
‘มุกเกิดเนื้อในหอย เพื่อบรรเทาความระคายเคืองฉันใด ศิลปะชั้นสูงของตะวันตกที่เติบใหญ่เฉกไข่มุก รอบ ๆ ทรายสากของคริสตจักร ก็ไม่อาจเยียวยาใด ๆ ได้ฉันนั้น เม็ดทรายสาก ๆ ก็คือคำสอนให้ปลดเปลื้องเรือนร่างของความเป็นมนุษย์ แล้วเอาความหวังทั้งมวลไปฝากเอาไว้กับพันธะสัญญา ที่จะได้มีชีวิตหลังความตาย คริสตจักรสร้างยุโรปขึ้นโดยเสนออาณาจักรบนสรวงสวรรค์ ให้แก่พวกป่าเถื่อนที่เข้ามารุกราน ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้พวกเขารักษาวัฒนธรรมชนเผ่าของตนเอาไว้ (ศาสนาของพวกนอกรีตก็แฝงอยู่ในวัฒนธรรมนั่นเอง) ศิลปะชั้นสูงของตะวันตกจำลองให้คนดิบพวกนี้ ได้เห็นอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อจะได้สร้างวัฒนธรรมแบบคริสต์ขนานแท้ขึ้นมา กลบฝังสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของพวกปากันให้หมดไป
แต่การรักษาที่หมาย กลับกลายเป็นโรคตัวใหม่ กล่าวคือศาสนจักรอนุญาตให้ศิลปินเหล่านั้น เป็นอิสระที่จะรังสรรค์จินตนาภาพต่าง ๆ ด้วยตนเอง แต่ศิลปินเหล่านี้เอาอาญาสิทธิที่ทางวัดให้ มาถลุงใช้ไปในทางอื่น นั่นคือเอามาใช้ส่งเสริมความหลงตนเอง (narcissism) เรื่องนี้ทั้งยาว ทั้งเศร้า ซึ่งผมได้เขียนเอาไว้ในที่อื่น* การหักหลังกันเองในศาสนจักร และในบรรดาศิลปินของศาสนจักรในศตวรรษที่ 19 คือต้นเหตุของความเสื่อมโทรมและล่มสลายของยุโรป ที่ย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 20’
(*ดู The pope, the musicians and the Jews, May 10, 2005; Why the beautiful is not the good, May 17, 2005; and The Laach Maria monster, June 1, 2005.)
ถึงสามัญชนส่วนใหญ่ตอนนี้ จะรู้สึกแปลกแยกกับวัฒนธรรมชั้นสูงของคริสตจักรในอดีต อย่างไรก็ตาม แต่ความแตกต่างของวัตถุประสงค์ของคริสศาสนา กับความหลงตนเองของพวกปากัน ก็เห็นได้ชัดเจน กระทั่งคนดูที่ไม่รู้เรื่องพรรค์นี้มาก่อนก็ตาม ศิลปะยุคฟื้นฟูของกรีก (Greek form of Renaissance arts) รบกับเนื้อหาความเป็นคริสต์ของตน และที่ชนะลอยขึ้นมาข้างหน้าคือลักษณะปากันขนาดแท้ (classical-pagan) หาใช่ลักษณะคริสต์ไม่ สาธารณะชนอาจจะไม่รู้ลึกในรายละเอียด แต่การที่จะเห็นว่าจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ชาวคริสต์ในยุคฟื้นฟู เอาความชำนิชำนาญของตนขึ้นมาก่อนการรับใช้พระเจ้านั้น ไม่จำเป็นต้องไปทำด๊อกเตอร์ทางประวัติศาสตร์ศิลป์มาก่อน ก็เห็นกันได้โต้ง ๆ อยู่แล้ว
ก็นี่แหละครับ คือที่มาของยุคฟื้นฟู ที่ทำให้การเบ่งบานของความคิดประดิษฐ์สร้าง พรึบสะพรั่งขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ ก่อนที่ขบวนการปฏิปักษ์-ปฏิรูป (Counter-Reformation) ก้าวเข้ามาจัดระเบียบศิลปินเหล่านี้ให้อยู่กับร่องกับรอย และนำมาซึ่งยุคศาสนาจารีต (religious orthodoxy) และความหน้าไหว้หลังหลอกของศิลปิน (artistic mediocrity) ตอนนั้น คทากับมงกุฎของศิลปะแบบ 3 มิติ (plastic arts-ทัศนศิลป์-visual arts) ย้ายหนีอิตาลี ไปยังฮอลแลนด์ ที่จิตรกรโปรเตสแตนท์ อาทิเช่นเรมบรานดท์* สรรค์สร้างแนวคิดว่าด้วยความงามของตนขึ้นมาใหม่ (จนทำให้ฮอลแลนด์เข้าสู่ยุคทองแห่งงานศิลปะ)
(*ชื่อเต็มว่า Rembrandt van Harmenszoon Rijn – เรมบรานดท์ ฮาร์เมนสซูน วาน ริน (1606-1669)
ในยุคแห่งศิลปะสวดสดงดงาม และที่น่าสับสนขัดแย้งกันอย่างเอกอุนี่เอง ลีโอนาโดก็ผงาดขึ้นมาเหนือเพื่อนร่วมยุคต่าง ๆ ของตน เขาเป็นทั้งแบบอย่างในความสุดยอด และความขัดแย้งสุดเหวี่ยง คือเขาเป็นทั้งสุดยอดคริสเตียน สุดยอดปากัน แต่ทว่าผู้วาดภาพ ‘อาหารมื้อสุดท้าย’ (The Last Supper) อันเป็นภาพศิลป์ทางคริสต์ศาสนาที่รู้จักกันดีที่สุด กลับมีลักษณะความเป็นคริสต์น้อยที่สุด ความลึกซึ้งของการหลงตนเองเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันใหญ่โต จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เลิก ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้แล้วว่าภาพโมนาลีซ่า ที่คนส่วนใหญ่รู้จักนั้น ที่แท้ก็คือรูปของดาวินชี่เอง*
(* Eg Lillian Schwartz)
บราวน์อาจจะเป็นนักเขียนที่ไม่เข้าท่า แต่เขาดันไปดีดถูกเส้นประสาท ที่เชื่อมโยงเข้ากับความกังขา ที่ชาวตะวันตกที่มีต่อความถูกต้องของอิทธิปาฏิหาริย์ของคริสต์ศาสนา (Western genius to doubts about the authenticity of Christian revelation) ผลสะเทือนของนวนิยายเล่มนี้ย่อมจะต้องผ่านไป เหมือนกินอาหารผิดสำแดง (ถ่ายออกหมดก็หาย) ส่วนความขัดแย้งภายในคริสตจักรก็คงต้องดำเนินไปตามปกติ
ขณะที่ศรัทธาในคริสต์ศาสนา (มีกระแสสูง) เฟื่องกลับขึ้นมาอีกครั้ง ก็เกิดคำถามว่า ทำไมนวนิยายอเมริกันเรื่องนี้ จึงออกมาแฉว่าคริสต์ศาสนาเป็นเรื่องหลอกลวง เรื่องนี้ผู้อ่านต้องใช้ความระมัดระวังให้มากเอาไว้ เราต้องควรทราบว่า ชาวอเมริกันอพยพโยกย้ายกันเป็นกะบิ หนีความเชื่อแบบโปรเตสแตนท์สายหลัก หันมารับนับถือพระในนิกายอีแวนเจลิค* ที่เทศนาเน้นเรื่องพระเยซูถูกตรึงกางเขนจริง และสอนให้คนไถ่บาปแบบชั่วนิรันดร แต่ชาวอเมริกันก็ดูหนังลามกด้วยครับ นี่เป็นเรื่องจริง บางคนอาจจะจัดประเภทงานของบราวน์ เป็นงานประเภทลามกทางศาสนาแบบหนึ่งก็ได้ แต่เรื่องของเรื่องยังมีมากกว่านี้
(*ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจของพระสันตะปาปาในกรุงโรม แต่นิกายอีแวนเจอลิคแยกตัวออกมา และสอนให้เชื่อแต่คำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อว่าจะล้างบาปเป็นการถาวรได้ ก็ด้วยการโปรดของพระเยซูเท่านั้น)
เพื่อเข้าใจในความนิยมของชาวคริสต์ ที่มีต่อเรื่อง The Da Vinci Code เราต้องเปรียบเทียบปฏิกิริยาของชาวคริสต์ กับของชาวมุสลิม ที่มีต่อนวนิยายที่โจมตีใส่รากเหง้าของความศรัทธาของพวกเขา นวนิยายของซัลมาน รัชดี เรื่อง The Satanic Verses (วาทะแห่งปีศาจ) ภาคภาษาอังกฤษ มียอดพิมพ์ใกล้เคียงกับของบราวน์ ซึ่งมียอดพิมพ์มากกว่า 60 ล้านฉบับ และมีคนอเมริกันคริสเตียนจำนวนมาก ที่ทั้งอ่านหนังสือและควบดูหนัง แต่มีชาวมุสลิมน้อยคนนักที่จะได้อ่านงานของรัชดี ทุกวันนี้ รัชดียังหลบหนีการถูกตามฆ่า แต่ไม่มีพวกคลั่งศาสนาคริสต์คนไหน คิดจะลงเอากับบราวน์
สำหรับเรื่องแบบนี้ ที่น่าประหลาดคือ The Da Vinci Code ภาคยิว ใคร ๆ ก็รู้ว่าศาสนายูดาห์มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่ไม่ค่อยมีเรื่องลึกลับ อย่างไรก็ดี ชาวยิวก็ยังติงว่า โมเสสขึ้นไปรับเพนตาตุ๊ก* มาจากพระเจ้าบนภูเขาไซนาย หรือแอบเขียนขึ้นมาเอง แต่ประเด็นนั้นก็ไม่แพร่หลายนัก
(*คัมภีร์ไบเบิล 5 เล่มแรก ที่เชื่อกันว่าโมเสสเขียนขึ้น)
แล้วถ้าหากอารักษ์ในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์สมภพ เขียนคัมภีร์โตราห์* ขึ้นแทนหละ ถามว่าพวกเขาไม่มีแรงดลใจ แบบเดียวกับโมเสสบ้างเลยหรือไร ? มีอยู่คราวหนึ่งผมไปถามเด็กยิวคนหนึ่งว่า “เธอรู้ได้อย่างไรว่า พระเจ้าทรงนำเธอออกมาจากอียิปต์ ?” ก่อนที่ผมจะทันจบประโยค เธอก็ตอบกลับมาในทันใดนั้นว่า “ก็ถ้าพระเจ้าไม่พาหนูออกมาจากอียิปต์ แล้วหนูจะมายืนพูดอยู่กับลุงแบบนี้ ได้หรือคะ ?”
(*คัมภีร์โตราห์ที่เป็นหลักในศาสนายูดาห์ ก็คือคัมภีร์ 5 เล่มแรกของโมเสสนั่นเอง)
แต่ตี๋ต่างว่าพระเยซูไม่ได้สวรรคตบนไม้กางเขน แถมทรงอภิเษกสมรสกับแมรี่ แมกดาลีน และทรงมีสายพระโลหิตสืบต่อลงมาเป็นขุนนางฝรั่งเศส พันธะสัญญาที่ให้ไว้แก่ชาวคริสต์ทั้งผอง มิเป็นอันต้องสูญสลายมลายไปดอกหรือ พูดกันตรง ๆ ตัวของศาสนาคริสต์ก็คือพันธะสัญญา สัญญาแห่งการมีชีวิตนิรันดร สัญญาแบบนี้จึงพร้อมที่จะถูกสงสัยท้าทายได้อยู่แล้วเป็นธรรมดา หน้าที่ชาวคริสต์คือต้องถอดตัวออกจากร่าง นั่นคือต้องปลอดพ้นจากบาป คือถอดชาติจากความเป็นชาวคริสต์ (gentile-เจนไทล์) แล้วไปเกิดใหม่เป็นคนของพระเจ้า
พวกเขาไม่เหมือนชาวยิว ที่ถือตัวเองเป็น ‘คนของพระเจ้า’ อยู่แล้ว ไม่ว่าเขาคนนั้นจะขี้ทูดกุฏฐังอย่างไร ๆ ก็ตาม แต่ชาวคริสต์ไม่เคยเห็น หรือแน่ใจว่าตัวเป็นคนของพระเจ้า หรือกระทั่งไม่รู้เลยว่า เนื้อตัวของพวกเขาได้แปรรูปไปเป็น ‘ทิพย์’ หรือไม่ เมื่อไหร่ อย่างไร ยกเว้นแต่คนส่วนน้อย ที่บังเอิญได้มีโอกาสเห็นพระเยซูฟื้นพระชนม์ชีพ ส่วนพวกที่เหลือล้วนไม่รู้จริงว่า พระเยซูจะทรงรับพวกเขาเอาไว้ในอาณาจักรของพระองค์หรือไม่ นอกจากต้องคงมั่นในศรัทธาเอาไว้ (แต่มาคิดดูอีกที) หากชาวคริสต์ไม่ต้องต่อกรกับความกังขาใด ๆ เหมือนอย่างจาคอบเห็นนางฟ้าที่ฝั่งน้ำ* ความศรัทธาก็จะไร้ค่า หมดราคา
(*คิดถึงตอนพรานบูรณ์แอบดูเหล่านางกินรีเล่นน้ำ)
ในสังคมที่อุดมด้วยจารีตประเพณี ที่ทั้งชีวิตและความคิดอ่านของปัจเจกชน ฝังรากอยู่ในชุมชนที่มั่นคงแล้ว ความสงสัยมักไม่ค่อยกล้าโผล่หน้าขึ้นมา แต่โลกของคริสตจักรไม่เคยได้อบอุ่นอยู่ในชุมชนจารีตแบบนั้นเลย ในสังคมทันสมัย ศาสนาทุกชนิดเป็นเพียงศาสนาประจำใจ เฉพาะของใครโดด ๆ คนนั้น ไม่ได้เป็นภารกิจของชุมชนอีกต่อไป ความสงสัยจึงหดแคบลงมาอยู่เฉพาะในหัวของคน ๆ นั้น พวกเขาจึงต้องไปขอคำรับรองจากสาธารณะ (เขียนและมีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ‘สาธารณ์’) หากเราจะเปรียบไปแล้ว สามีในสมัยวิกตอเรีย* ก็ซื่อสัตย์ต่อภรรยาตัว พอ ๆ กับสามีชาวอังกฤษในสมัยนี้ เพราะสถิติบอกออกมาแล้วว่า จำนวนโสเภณีในกรุงลอนดอน คิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรที่เป็นหญิงในมหานครแห่งนั้น มาตลอดครึ่งหนึ่งของศตวรรษที่ 19
(*พระนางเจ้าวิกตอเรีย ปกครองอังกฤษระหว่างปี 1837-1901)
อย่างไรก็ดี คนในสมัยวิกตอเรียมีโอกาสดูหนังลามกน้อยมาก เพราะหาไม่ค่อยได้ ข้อเท็จจริงที่ว่าสามีสมัยใหม่เข้าถึงสื่อลามกได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า พวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อภรรยาน้อยกว่า ชาวคริสต์ที่อ่าน The Da Vinci Code ก็มีความรู้สึกมักมากในเชิงกาม (กระสัน) เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ดึงดูดพวกเขาไปดูหนังลามกเช่นกัน คือมันยอมให้พวกเขาตั้งคำถามกับ ‘ศรัทธาที่เป็นสรณะ’ เช่นเดียวกับที่ของสุด ๆ พรรค์นั้น (hardcore) ที่ยอมให้พวกเขาตั้งข้อสงสัยต่อ ‘การมีผัวเดียวเมียเดียวที่เป็นสรณะ’
พวกที่ส่งเสริม "Gnostic Gospels"* ก็ฉวยเอา The Da Vinci Code มาปีนกระไดคำสอนของพวกตนที่ว่า ที่จริงพระเยซูก็คือ ‘พระครู’ ธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ ‘พระบุตรของพระเจ้า’ มาจากไหน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังสงสัยว่านวนิยายของบราวน์ จะไปทำอะไรกับชาวคริสต์ ที่เคร่งขนาดอุทิศพลีกายได้สักแวบหรือไม่ เรื่องนี้ก็อีหรอบเดียวกับคำถามเชิงการดำรงอยู่** ที่ว่า หากชาวยิวถือว่าการดำรงอยู่ตน เป็นเครื่องพิสูจน์ทราบการมีอยู่ของคัมภีร์ชาวฮิบรู การดำรงอยู่ของชาวคริสต์ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์พันธะสัญญาของพระเยซูเช่นกัน
(*นอสติค กอสเพล คือขบวนการทางศาสนา ก่อนหน้ายุคพระคริสต์ ที่สอนให้คนศึกษาเรียนรู้สิ่งศักดิสิทธิ์ เพื่อช่วยให้พ้นบาป
**Extistential argument - การที่ผู้เขียนใช้ ‘E ใหญ่’ เป็นเพียงการเล่นคำในประโยค เพื่อให้เกี่ยวเนื่องไปถึงปรัชญาแบบ Existentialism ซึ่งเน้นที่การดำรงอยู่ของผู้คน
ลัทธิเอกซิสเตนเชียลลิสม์ เป็นการเคลื่อนไหวเชิงปรัชญาในศ.20 ที่บอกว่า สรรพวัตถุในจักรวาลนี้ไม่มีผลใด ๆ ต่อปัจเจกชน การดำรงอยู่ การตัดสินใจ และกระทำการใด ๆ ของคน เป็นเรื่องส่วนตัว ที่คน ๆ นั้นต้องรับผิดชอบเองทั้งสิ้น)
ไม่มีผู้ใดเข้ารีตคริสต์เพราะคำสอนมีเหตุผลดอกครับ เช่นมีการบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักโลกมาก กระทั่งพระองค์ทรงเซ่น (sacrificed) พระบุตรในสายโลหิต ลงมากอบกู้เอาไว้ นั่นก็เป็นข้ออ้างที่ลอกเอามาจากพวกยิวที่อ้างว่า ‘พระผู้สร้าง’ (creator of all) ผู้ทรงห่มจักรวาลดั่งภูษา ทรงอดจะสงสารความทุกขเวทนาของบรรดาแมงมดแมงเม่า ที่พระองค์สร้างขึ้นไม่ได้
ชาวคริสต์รู้ว่า หากการฟื้นพระชนม์ชีพของพระเยซูเป็นเรื่องโกหกแล้ว ก็จะไม่มีการรับศีลก่อนตาย ขบวนการนอสติก หรือขบวนการทางศาสนาก่อนพระคริสต์ สอนไปอีกอย่าง ใครที่อยากได้การผ่อนคลายในโลก ควรรู้ว่าตัวต้องหันไปหาทางไหน ส่วนใครคิดจะสู้กับความตาย ก็ต้องรู้ว่าตัวต้องหันไปที่ใด
หากศรัทธาของชาวคริสต์ไม่ฟื้นกลับมามากเท่านี้ ก็คงไม่มีใครสนใจหนังสือของบราวน์ขนาดนี้ดอก ผู้คนดูโผเผอยู่ในข้อกังขา ก็เพียงเพราะพวกเขาเอาศรัทธามาเป็นที่ตั้ง ในปี 1975 อันเป็นช่วงที่ศาสนกิจทางศาสนาในสหรัฐ ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามมา โรเบิร์ต ลัดลัม ตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง The Gemini Contenders หนังสือสะยองขวัญ มีเนื้อหาแบบเดียวกันนี้ คือเป็นเรื่องลับลมคมใน (conspiracy) ของคริสตจักรคาธอลิค ที่พยายามปกปิดข้อพิสูจน์ที่ว่าพระเยซูไม่ใช่เทพ ก็ขายดีครับ แต่ไม่เท่านวนิยายของบราวน์ เห็นได้ว่าบราวน์ได้ประโยชน์ทางอ้อม จากการที่ตอนนี้ชาวอเมริกัน มีศรัทธาทางศาสนาฟื้นขึ้นมานั่นเอง
เรื่องนี้เพียงพอจะให้คำตอบว่า ทำไมข้อเขียนแบบเยิ่นเย้อสั่ว ๆ แบบนี้ จึงทำให้เกิดสภาพไฟไหม้ฟาง ขึ้นในประเทศที่เป็นชาวคริสต์ได้ แต่ยังไม่พอจะอธิบายว่า ทำไมข้อเขียนบ้องตันชิ้นนี้ (The Da Vinci Code) จึงประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่านี้
เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ก็มีเรื่องลับลมคมในแบบนี้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง The Three Musketeers ของอเลกซานเดอร์ ดูมาส์ ดูก็ได้ มันเป็นนวนิยายที่สร้างให้พระราชาคณะริเชลิว สมุหนายกของฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 17 มีเรื่องลับลมคมใน แต่ในความเป็นจริง ตัวท่านกับบาดหลวงโยเซฟ ดู ตรองบเลย์ หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของท่าน ร่วมมือกันแปรสงครามศาสนาในเยอรมนี ให้กลายเป็นสงครามสามสิบปี (ดู The sacred heart of darkness, Asia Times Online, February 11, 2003) ที่บดขยี้ประชากรที่พูดเยอรมันในยุโรปส่วนใหญ่ลง และทำให้ฝรั่งเศส กลายเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียวในภาคพื้นยุโรป
บาดหลวงดู ตรองเบลย์ หรือ ‘หลวงพ่อเทา’ ("Gray Eminence") เดินตีนเปล่าไปทั่วยุโรป ในชุดเสื้อคลุมคาปูชิน* เพื่อปลุกปั่นและล่อหลอกผู้นำในยุโรปตอนนั้น เจ้าแห่งรหัสลัทธิผู้ไม่ยอมให้ตัวพ่ายแพ้ ‘หลวงพ่อเทา’ เป็น 007 ที่สั่นสะเทือนประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ เรายังรู้สิ่งที่ท่านได้ทำไปไม่หมด บุคคลเหล่านี้มีภาพพจน์ที่เหนือจินตนาการของคนธรรมดาสามัญมากนัก เพราะพวกเขามีพรสวรรค์ ที่สามารถเข้าใจจุดอ่อนของมนุษย์ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีน้อยคนนักจะเข้าใจ แม้แต่ฟรีดริช ชิลเลอร์ ผู้เขียนบทละครไตรภาค เรื่อง Wallenstein ที่ว่าด้วยสงครามสามสิบปี ก็ยังหยั่งไปไม่ครบถึงบทบาทของท่าน ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมของฝรั่งเศส ในการปลุกปั่นให้เกิดสงครามครั้งนี้
(*Capuchin gown เสื้อคลุมยาวมีฮู๊ดคลุมหัว ดูลึกลับเหมือนเสื้อคลุมของปีศาจหัวกะโหลก)
ความขี้เท่อของบราวน์ เปรียบกับอเลกซานเดอร์ ดูมาส์แล้วแย่กว่ามาก แต่ทั้งสองก็คล้าย ๆ กัน ประวัติศาสตร์ของศาสนจักรโรมันคาธอลิค เป็นเรื่องน่าเศร้านัก พูดให้ถึงที่สุดก็คือว่า รอยมลทินที่อยู่ภายในนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพรั่นพรึง มันเป็นโศกนาฏกรรมของยุโรป ดังที่ฮิลแลร์ เบลล็อก* ว่าไว้ว่า “ยุโรปคือศรัทธา ศรัทธาคือยุโรป” ยุโรปถูกสร้างขึ้นจากพวกเยอรมัน ไวกิ้ง สลาฟ แมกยาร์** และอื่น ๆ ที่รุกรานและปล้นฆ่าล้างผลาญ แย่งชิงดินแดนเหล่านี้มาจากพวกโรมัน ที่เคยปกครองยุโรปมาตั้ง 800 ปี คริสตจักรเป็นผู้นำพันธะสัญญามาให้พวกเขา รวมทั้งพวกยิวที่นำความหวัง และวิถีชีวิตแบบปากัน*** มาให้ ฝ่ายปากันชนะ พร้อมด้วยผลลัพธ์ที่น่าสยดสยอง
(*นักประพันธ์อังกฤษที่เกิดในฝรั่งเศส (1870 -1953) เขียนเรื่อง Cautionary Tales for Children (1907) และประวัติบุคคลสำคัญเช่นนโปเลียน (1932)
**พวกแมกยาร์คือชาวฮังการี
***pagan คือพวกนอกรีต ในที่นี้คือพวกที่ไม่ได้ถือศาสนาคริสต์)
ประชาชนชาวยุโรปไม่สามารถแยกแยะความความที่ตัวเป็นคาธอลิค กับความรู้สึกแบบทั้งรักทั้งชังต่อเชื้อชาติของตนได้โดยง่าย ทั้ง ๆ ที่โปแลนด์มีพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 แต่โปแลนด์ก็ยังเป็นสมรภูมิสู้รบกัน ระหว่างลัทธิชาตินิยมปากัน-ใหม่ ที่แผ่ซ่านอยู่ในคริสตจักรของโปแลนด์ กับวิสัยทัศน์แบบสากลนิยมของคริสต์ศาสนาของพระสันตะปาปา ผู้สิ้นพระชนม์ไปแล้วพระองค์นั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว พระสันตะปาปาเบเนดิกท์ ที่ 14 ไปเยือนสถานที่ตั้งของค่ายกักกันชาวยิวที่เอาชวิทซ์ แต่ถูกฝูงชนปิดถนนเพื่อโจมตีประมุขรับไบ*แห่งโปแลนด์ ที่พระสันตะปาปาทรงนิมนต์มาสวดในพิธี สำนักวาติกันเองก็ไม่สามารถปราบปรามสถานีวิทยุ Radio Maryja ของพวกชาตินิยม ที่ออกอากาศต่อต้านชาวยิวได้ พูดง่าย ๆ คือฆ่ามะเร็ง แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้ได้ คนไข้ในที่นี้คือเอกลักษณ์ความเป็นโปแลนด์ของคริสตจักรที่นั่น
(*หัวหน้าอาจารย์ยิวในโปแลนด์ อาจารย์ในที่นี้ทำหน้าที่คล้าย ๆ ดาโต๊ะในศาสนาอิสลาม)
ศาสนาของพวกปากันคือเคารพบูชาตัวเอง คาธอลิคแบบปากัน-อีแอบ (crypto-pagan Catholic*) ก็เหมือนนาซิสซัส** คือคุกเข่าจ้องพระรูปของพระเยซู พระแม่มารี และนักบุญคนอื่น ๆ แต่ไพล่ไปสวดมนตร์บูชาตัวเอง เพื่อหันเหสายตาของพวกปากันที่มาเข้ารีต ที่ยังจับจ้องอยู่แต่เชื้อชาติที่สามาลย์ของตน (their earthly ethnicity) ให้หันขึ้นฟ้าหาอาณาจักรของพระเจ้าบนสรวงสวรรค์เสียบ้าง ศาสนจักรจึงออกไปเรียกระดมศิลปินผู้ยิ่งใหญ่มาใช้งาน ก็เหมือนอย่างที่ผมเขียนลงไปในเรื่อง Why the beautiful is not the good (May 17, 2005) และตัดตอนมาดังนี้
(*คือพวกคอธอลิคที่แอบซ่อนความเป็นพวกนอกรีตของตนเอาไว้
** เด็กหนุ่มชาวกรีกในเทพนิยาย ที่ถูกเทพเอ็กโคแห่งความรัก สาปให้หลงรักเงาตัวเองที่ปรากฏบนผิวน้ำในบ่อ เขาจ้องรูปนั้นจนตาย เพราะความหิว แล้วเกิดใหม่เป็นดอกนาซิสซัส ที่ชอบขึ้นอยู่ตามชายน้ำ)
‘มุกเกิดเนื้อในหอย เพื่อบรรเทาความระคายเคืองฉันใด ศิลปะชั้นสูงของตะวันตกที่เติบใหญ่เฉกไข่มุก รอบ ๆ ทรายสากของคริสตจักร ก็ไม่อาจเยียวยาใด ๆ ได้ฉันนั้น เม็ดทรายสาก ๆ ก็คือคำสอนให้ปลดเปลื้องเรือนร่างของความเป็นมนุษย์ แล้วเอาความหวังทั้งมวลไปฝากเอาไว้กับพันธะสัญญา ที่จะได้มีชีวิตหลังความตาย คริสตจักรสร้างยุโรปขึ้นโดยเสนออาณาจักรบนสรวงสวรรค์ ให้แก่พวกป่าเถื่อนที่เข้ามารุกราน ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้พวกเขารักษาวัฒนธรรมชนเผ่าของตนเอาไว้ (ศาสนาของพวกนอกรีตก็แฝงอยู่ในวัฒนธรรมนั่นเอง) ศิลปะชั้นสูงของตะวันตกจำลองให้คนดิบพวกนี้ ได้เห็นอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อจะได้สร้างวัฒนธรรมแบบคริสต์ขนานแท้ขึ้นมา กลบฝังสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของพวกปากันให้หมดไป
แต่การรักษาที่หมาย กลับกลายเป็นโรคตัวใหม่ กล่าวคือศาสนจักรอนุญาตให้ศิลปินเหล่านั้น เป็นอิสระที่จะรังสรรค์จินตนาภาพต่าง ๆ ด้วยตนเอง แต่ศิลปินเหล่านี้เอาอาญาสิทธิที่ทางวัดให้ มาถลุงใช้ไปในทางอื่น นั่นคือเอามาใช้ส่งเสริมความหลงตนเอง (narcissism) เรื่องนี้ทั้งยาว ทั้งเศร้า ซึ่งผมได้เขียนเอาไว้ในที่อื่น* การหักหลังกันเองในศาสนจักร และในบรรดาศิลปินของศาสนจักรในศตวรรษที่ 19 คือต้นเหตุของความเสื่อมโทรมและล่มสลายของยุโรป ที่ย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 20’
(*ดู The pope, the musicians and the Jews, May 10, 2005; Why the beautiful is not the good, May 17, 2005; and The Laach Maria monster, June 1, 2005.)
ถึงสามัญชนส่วนใหญ่ตอนนี้ จะรู้สึกแปลกแยกกับวัฒนธรรมชั้นสูงของคริสตจักรในอดีต อย่างไรก็ตาม แต่ความแตกต่างของวัตถุประสงค์ของคริสศาสนา กับความหลงตนเองของพวกปากัน ก็เห็นได้ชัดเจน กระทั่งคนดูที่ไม่รู้เรื่องพรรค์นี้มาก่อนก็ตาม ศิลปะยุคฟื้นฟูของกรีก (Greek form of Renaissance arts) รบกับเนื้อหาความเป็นคริสต์ของตน และที่ชนะลอยขึ้นมาข้างหน้าคือลักษณะปากันขนาดแท้ (classical-pagan) หาใช่ลักษณะคริสต์ไม่ สาธารณะชนอาจจะไม่รู้ลึกในรายละเอียด แต่การที่จะเห็นว่าจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ชาวคริสต์ในยุคฟื้นฟู เอาความชำนิชำนาญของตนขึ้นมาก่อนการรับใช้พระเจ้านั้น ไม่จำเป็นต้องไปทำด๊อกเตอร์ทางประวัติศาสตร์ศิลป์มาก่อน ก็เห็นกันได้โต้ง ๆ อยู่แล้ว
ก็นี่แหละครับ คือที่มาของยุคฟื้นฟู ที่ทำให้การเบ่งบานของความคิดประดิษฐ์สร้าง พรึบสะพรั่งขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ ก่อนที่ขบวนการปฏิปักษ์-ปฏิรูป (Counter-Reformation) ก้าวเข้ามาจัดระเบียบศิลปินเหล่านี้ให้อยู่กับร่องกับรอย และนำมาซึ่งยุคศาสนาจารีต (religious orthodoxy) และความหน้าไหว้หลังหลอกของศิลปิน (artistic mediocrity) ตอนนั้น คทากับมงกุฎของศิลปะแบบ 3 มิติ (plastic arts-ทัศนศิลป์-visual arts) ย้ายหนีอิตาลี ไปยังฮอลแลนด์ ที่จิตรกรโปรเตสแตนท์ อาทิเช่นเรมบรานดท์* สรรค์สร้างแนวคิดว่าด้วยความงามของตนขึ้นมาใหม่ (จนทำให้ฮอลแลนด์เข้าสู่ยุคทองแห่งงานศิลปะ)
(*ชื่อเต็มว่า Rembrandt van Harmenszoon Rijn – เรมบรานดท์ ฮาร์เมนสซูน วาน ริน (1606-1669)
ในยุคแห่งศิลปะสวดสดงดงาม และที่น่าสับสนขัดแย้งกันอย่างเอกอุนี่เอง ลีโอนาโดก็ผงาดขึ้นมาเหนือเพื่อนร่วมยุคต่าง ๆ ของตน เขาเป็นทั้งแบบอย่างในความสุดยอด และความขัดแย้งสุดเหวี่ยง คือเขาเป็นทั้งสุดยอดคริสเตียน สุดยอดปากัน แต่ทว่าผู้วาดภาพ ‘อาหารมื้อสุดท้าย’ (The Last Supper) อันเป็นภาพศิลป์ทางคริสต์ศาสนาที่รู้จักกันดีที่สุด กลับมีลักษณะความเป็นคริสต์น้อยที่สุด ความลึกซึ้งของการหลงตนเองเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันใหญ่โต จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เลิก ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้แล้วว่าภาพโมนาลีซ่า ที่คนส่วนใหญ่รู้จักนั้น ที่แท้ก็คือรูปของดาวินชี่เอง*
(* Eg Lillian Schwartz)
บราวน์อาจจะเป็นนักเขียนที่ไม่เข้าท่า แต่เขาดันไปดีดถูกเส้นประสาท ที่เชื่อมโยงเข้ากับความกังขา ที่ชาวตะวันตกที่มีต่อความถูกต้องของอิทธิปาฏิหาริย์ของคริสต์ศาสนา (Western genius to doubts about the authenticity of Christian revelation) ผลสะเทือนของนวนิยายเล่มนี้ย่อมจะต้องผ่านไป เหมือนกินอาหารผิดสำแดง (ถ่ายออกหมดก็หาย) ส่วนความขัดแย้งภายในคริสตจักรก็คงต้องดำเนินไปตามปกติ