เอเยนซีส์ - ภาพการต่อสู้ของ 'พลังประชาชน' ในฟิลิปปินส์เมื่อ 20 ปีก่อน ยังคงติดตราตรึงใจผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพแม่ชีคุกเข่าสวดมนตร์หน้ารถถัง หรือภาพชาวบ้านที่มีแต่มือเปล่าพยายามเข็นรถทหารออกไปจากพื้นที่ชุมนุม ถึงแม้ว่าความกล้าหาญที่แสดงออกมา ได้ช่วยอำพรางความกลัวของหลายคน ณ จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ตอนนั้น
"ผมเฝ้ารอให้แม่ชีวิ่งหนี" อากาปิโต อาคีโน น้องชายของเบนินโญ อาคีโน ผู้นำฝ่ายค้านที่ถูกลอบสังหารระหว่างที่แดนตากาล็อกประกาศกฎอัยการศึก รำลึกเหตุการณ์ครั้งนั้น "เพราะผมทำใจไม่ได้ที่จะเป็นคนแรกที่วิ่งหนี เราชุมนุมกันต่อไปเพราะละอายใจเกินกว่าจะหนี"
สองทศวรรษหลังจากผู้นำทรราช เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ถูกขับไล่ ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ไร้กฎเกณฑ์ ซ้ำมีปัญหาเกาะกินจากความยากจน การคอร์รัปชั่น และความรุนแรง
เมื่อวานนี้(24) ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านนัดหมายจัดชุมนุมใหญ่ เพื่อระลึกการครบรอบ 20 ปีของ "พลังประชาชน" คราวนั้น ตลอดจนเพื่อประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากาล อาร์โรโย ที่พวกเขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้งและคอร์รัปชั่นโกงกิน อาร์โรโยก็ได้ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน ทหารและรถถังออกรักษาการณ์ตามท้องถนนในกรุงมะนิลาอีกคำรบหนึ่ง
ไม่ว่าดินแดนที่เคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนและอเมริกาแห่งนี้จะยังคงมีปัญหามากมายแค่ไหนก็ตาม มรดกแห่งการต่อสู้ของ "พลังประชาชน" อันเป็นขบวนการรากหญ้าที่เคลื่อนไหวอย่างสันติและสามารถโค่นอำนาจมาร์กอสสำเร็จ หลังจากถูกกดขี่มาหลายปีนั้น ก็ยังคงเป็นแหล่งที่มาของความภาคภูมิใจและอัตลักษณ์ของฟิลิปปินส์อยู่นั่นเอง
บรรยายกาศของการต่อสู้ 'พลังประชาชน' แตกต่างกันอย่างมากกับขบวนการต่อสู้ทำนองเดียวกันในส่วนอื่นๆ ของเอเชีย ไล่ตั้งแต่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากระบอบเผด็จการสู่ประชาธิปไตยในอินโดนีเซียปี 1998 ที่ไม่ได้ขาดแคลนความรุนแรงเลย หรือการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในจัตุรัสเทียนอันเหมินปี 1989 ที่จบลงด้วยการที่ทหารยิงใส่นักศึกษา
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากการต่อต้านมาร์กอสอย่างสันติยังมิได้มีความแน่นอนมั่นคงอะไร และการเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญของผู้ชุมนุมชาวตากาล็อกในปี 1986 หลังจากช่วงเวลาหลายปีของการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ก็ถือเป็นการฉกฉวยโอกาสมากกว่าการวางแผนมาอย่างรอบคอบ
ความเคลือบแคลงว่า มาร์กอสกำลังเตรียมการเพื่อยึดอำนาจการปกครองไว้ในมือเริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม 1971 เมื่อประธานาธิบดีผู้นี้สั่งระงับใช้กฎหมายซึ่งกำหนดให้ต้องส่งตัวผู้ต้องหาฟ้องร้องต่อศาล และทำให้ตำรวจสามารถจับกุมใครก็ได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ
เดือนกันยายน 1972 หรือหนึ่งปีก่อนครบกำหนดดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญก็จะต้องเป็นสมัยสุดท้ายของเขาด้วย มาร์กอสก็ได้ออกมาประกาศใช้กฎอัยการศึก และจากนั้นมาอีก 14 ปี เขาปกครองฟิลิปปินส์แบบผู้เผด็จการ ประชาชนนับพันถูกคุมขัง ฝ่ายต่อต้านมากมายไม่หายสาบสูญก็ถูกอุ้มฆ่าโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัย
การเผด็จอำนาจของมาร์กอสถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงในวันที่ 21 ตุลาคม 1983 เมื่อ เบนิญโญ "นีนอย" อาคีโน วุฒิสมาชิกฝ่ายค้านซึ่งได้รับความนิยมจากประชาชนมาก ถูกลอบสังหารที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงมะนิลา ขณะเดินทางกลับประเทศภายหลังไปลี้ภัยอยู่ 3 ปีในสหรัฐฯ
ความไม่พอใจภายในประเทศซึ่งสั่งสมเพิ่มพูนขึ้นทุกที ทำให้สหรัฐฯผู้เป็นมหามิตรของมาร์กอสในตอนนั้น กดดันให้เขาต้องยอมประกาศในปลายปี 1985 ว่าจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้นก่อนกำหนดเดิม 1 ปี
แต่แล้ว การเลือกตั้งในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1986 กลับมัวหมองขาดความน่าเชื่อถือด้วยข่าวคราวกลโกงต่างๆ ทำให้เกิดการประท้วงฮือขึ้นมา คู่ท้าชิงของมาร์กอสในขณะนั้นคือ คอราซอน อาคีโน ภรรยาหม้ายของเบนินโญ โจมตีว่ามีการโกงการเลือกตั้งกันอย่างกว้างขวาง และเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมากระทำการอารยะขัดขืน
ทหารบางส่วนในกองทัพที่เคยเป็นเครื่องมือในการกดขี่ข่มเหงประชาชนของมาร์กอส เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่โค่นล้มบัลลังก์ของผู้นำเผด็จการ
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ อกาปิโต อาคีโน กำลังดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตอนที่ได้ยินข่าวว่า ฮวน ปอนเซ เอนริเล และฟิเดล รามอส รัฐมนตรีกลาโหม และรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น แถลงเรียกร้องให้มาร์กอสลาออก
ตอนแรกพวกผู้นำฝ่ายค้านยังระแวงระไวว่าเกิดความแตกแยกระหว่างมาร์กอสกับอดีตผู้สนับสนุนเช่นนี้จริงหรือไม่ มีคนหนึ่งแนะนำ (อกาปิโต) อาคีโน ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาว่า "ปล่อยพวกเขายิงกันเองเถอะ"
"แต่ผมบอกว่า 'ศัตรูของศัตรูของเราก็คือพันธมิตรของเรา' ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกลุ่มนี้ให้แยกตัวออกมาอย่างเด็ดขาด" อาคีโนเล่า
แผนการคือ เรียกร้องประชาชนไปชุมนุมกันหน้าห้างอิเซตัน และเดินขบวนไปยังค่ายทหารสองแห่งที่เป็นศูนย์บัญชาการของนายทหารแตกแถว เพื่อกดดันไม่ให้มาร์กอสและลิ่วล้อในกองทัพอีกส่วนปราบปรามทหารกบฎ เพราะจะเป็นการโจมตีประชาชนไปด้วย
อาคีโนเล่าว่า เขาตรงไปหน้าห้างอิเซตันประมาณ 5 ทุ่ม และเห็นมีผู้มาชุมนุมแค่ 5 คน
"ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า คนพวกนั้นเป็นม็อบจริงๆ หรือมาสอดแนม"
แต่ไม่นาน คนก็เริ่มทยอยกันมาจาก 5 เป็น 10 คน และถึงหลักร้อย ราวเที่ยงคืน การเดินขบวนเริ่มต้นด้วยคนหลายพัน
"เรารู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาอย่างง่ายดาย เพราะขณะที่ก้าวไปข้างหน้า คุณรู้ว่ามีคนเป็นร้อยๆ สนับสนุนอยู่ข้างหลัง"
และแล้วคาร์ดินัล ไฮเม ซิน อาร์คบิช็อปแห่งมะนิลา ก็ออกแถลงการณ์ทางวิทยุเรียกร้องชาวฟิลิปปินส์ปกป้องกลุ่มทหารที่แยกตัวออกมาจากรัฐบาล
แม่ชีนิกายคาทอลิกตรงดิ่งไปที่ถนนใกล้ค่ายทหารทันที เพื่อตั้งเต็นท์ให้บริการอาหารแก่ผู้ชุมนุม
รุ่งเช้า คนนับหมื่นรวมตัวกันหน้าค่ายทหารทั้งสองแห่ง ฝูงชนขยายกลายเป็นแสน หรือกระทั่งอาจถึงล้าน ระหว่างช่วงเวลา 4 วันของการชุมนุม
เย็นวันอาทิตย์ มาร์กอสส่งรถถังของหน่วยนาวิกโยธินเข้าไปข่มขู่ผู้ชุมนุม ท่ามกลางข่าวลือว่า กองกำลังที่ยังภักดีต่อเขาอาจกวาดล้างผู้ประท้วง แต่ประชาชนไม่ยอมถอยแม้สักก้าว ขณะที่ทหารก็ไม่ได้ลั่นกระสุนออกมา
นัสเซอร์ มาโรฮอมเซอิก ทนายความและสมาชิกกลุ่มมุสลิมใต้ดินที่ต่อต้านมาร์กอส ชวนภรรยา ลูกชาย และเพื่อนบ้าน ไปร่วมชุมนุม เขาเล่าว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ใช่นักเคลื่อนไหว แต่เป็นราษฎรธรรมดา
"ชาวบ้านโกรธเกรี้ยวมาร์กอส ไม่ต้องเชิญชวนพวกเขาก็มา เพราะรู้ว่าโอกาสแบบนี้ผ่านแล้วจะผ่านเลย"
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ มาร์กอสสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอีกสมัย แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กันว่า อเมริกามหามิตรจะไม่แทรกแซงเพื่อค้ำจุนเขา ผู้นำเผด็จการจึงตัดสินใจลงจากหลังเสือ โดยอาศัยเฮลิคอปเตอร์ทหารของสหรัฐฯ พาครอบครัวไปลี้ภัยในฮาวาย ขณะที่ฝูงชนถาโถมเข้าสู่ทำเนียบมาลากันยัง เพียงเพื่อจะตะลึงงันกับความหรูหราอลังการที่ปรนเปรอชีวิตของผู้นำเผด็จการและลูกเมียที่ร่วมกันโกงกินบ้านเมือง
สองทศวรรษต่อมา ปัญหาการคอร์รัปชั่น การแตกร้าวลึกทางการเมือง กลุ่มกบฏติดอาวุธ และช่องว่างกว้างใหญ่ไพศาลระหว่างคนรวยกับคนจน ยังคงรุมเร้าฟิลิปปินส์ไม่เสื่อมคลาย
กระนั้น เครสเซนเชีย ลูเซโร แม่ชี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อว่า มาร์กอสสมควรไป ยังมั่นคงกับความรู้สึกของตัวเอง
"ไม่ว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร ฉันยังคงอยากเป็นส่วนหนึ่งของพลังประชาชน"


