xs
xsm
sm
md
lg

เปิดแฟ้มลับ'นิกสัน'เทียบศึกเวียด-อิรัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี - สหรัฐฯเปิดเอกสารลับสมัยสงครามเวียดนาม ระบุข้อมูลการต่อสู้ของ "ริชาร์ด นิกสัน" ช่างละม้ายคล้ายปัญหาในอิรัก ซึ่งประธานาธิบดีบุช กำลังเผชิญในปัจจุบัน ด้านนักวิเคราะห์เผย นักรบต่างชาติมากถึง 3,000 คน ซุ่มโจมตีมะกันในอิรัก ขณะส.ส.เดโมแครต อดีตทหารผ่านศึกเวียดนาม เสนอร่างกม.สั่งถอนทัพจากอิรักโดยด่วนเป็นครั้งแรก

เนชั่นแนล อาร์ไคฟส์ สถานที่เก็บเอกสารสำคัญของทางการสหรัฐฯ เปิดคลังเอกสารลับราว 50,000 หน้า ของรัฐบาลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นแฟ้มข้อมูลของสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานของเฮนรี คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน

สำหรับแฟ้มเอกสารที่เกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1969-1973 ตลอดจนโทรเลข, เมโม, บันทึกบทสนทนา, ร่างสุนทรพจน์, แผนที่ และภาพถ่าย โดยเอกสารชุดแรกเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหารในเวียดนามเหนือ-ใต้, กัมพูชา และลาว ส่วนชุดที่สองเป็นเรื่องราวการติดต่อสื่อสารของกระทรวงต่างประเทศในประเด็นการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร

เอกสารในส่วนของคิสซิงเจอร์ มาจากหน่วยงานทั่วทุกภาคของรัฐบาล อีกทั้งยังระบุถึงหลายประเด็นที่รัฐบาลกำลังดำเนินการทั้งเวียดนาม ข่าวกรอง ความมั่นคง และงบประมาณป้องกันประเทศ

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า เอกสารเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาต่อสู้ดิ้นรนของนิกสัน เกี่ยวกับประเด็นมากมายทั้งเรื่องมุมมองของประชาชน และการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาแบบเดียวกับที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช หนึ่งในนั้น คือ ปฏิกิริยาของมวลชนเกี่ยวกับการล่วงละเมิดสิทธิพลเรือน

การสังหารหมู่พลเรือนเวียดนาม ด้วยน้ำมือทหารอเมริกัน ที่เมืองมีไล ในปี 1968 "พิสูจน์ให้เห็นถึงความน่าอับอายขายหน้าของสหรัฐฯอย่างชัดแจ้ง" เมลวิน แลร์ด อดีตรัฐมนตรีกลาโหมเตือนนิกสัน ในเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งไทมส์ยกขึ้นมาอ้าง

"ส่วนเรื่องภายในประเทศ มันจะเท่ากับเป็นการยื่นอาวุธให้กับพวกนักกิจกรรมต่อต้านสงคราม" แลร์ดกล่าวเสริม

เอกสารอื่นๆยังสะท้อนให้เห็นความพยายามของรัฐบาลนิกสัน ในการสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ของประธานาธิบดีเหวียนวานเทียว ด้วยการกดดันให้มีการปฏิรูปประชาธิปไตย เฉกเช่นที่บุชกำลังทำกับอิรักในปัจจุบัน

ไทมส์อ้างบันทึกของทำเนียบขาวปี 1969 ซึ่งบรรยายถึงแผนการสร้าง "กระบวนการเพื่อทางเลือกทางการเมืองที่ให้โอกาสอันจริงแท้แก่กลุ่มที่มีความสำคัญ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในวิถีชีวิตการเมืองของประเทศชาติ"

รายงานดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่วันพฤหัสบดี (17) ศูนย์วิจัยพิวในกรุงวอชิงตัน เผยผลสำรวจล่าสุดระบุว่า สงครามอิรัก และทหารอเมริกันที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากยิ่งขึ้นเชื่อว่า สหรัฐฯควรใส่ใจเฝ้าระวังธุรกิจข้ามชาติของตนในต่างแดน

"สัดส่วนชาวอเมริกันที่เห็นพ้องว่า สหรัฐฯ ควรระวังธุรกิจของตนทั่วโลก และหาทางดึงชาติอื่นๆเป็นแนวร่วมให้มากที่สุดเพิ่มจาก 30% ในปี 2002 เป็น 42% ในปัจจุบัน" โพลระบุ ขณะที่แอนดรูว โคฮัต ผอ.ศูนย์วิจัยดังกล่าว เผยว่า ความรู้สึกถูกโดดเดี่ยวเช่นนี้อยู่ในระดับเดียวกับอาการที่เกิดขึ้นระหว่างกลางทศวรรษ 1970 หลังสงครามเวียดนาม และทศวรรษ 1990 หลังสิ้นสุดสงครามเย็น

ด้านจอห์น เมอร์ธา ส.ส.พรรคเดโมแครต และอดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม เสนอร่างกฎหมายใหม่ต่อสภาล่างสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เรียกร้องให้มีการถอนทหารออกจากอิรักทันที โดยให้เหตุผลว่า ณ เวลานี้ อเมริกาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในอิรักด้วยยุทธวิธีทางทหารได้อีกต่อไป

แอนโธนี คอร์ดส์แมน ผู้เชี่ยวชาญแห่งศูนย์ยุทธศาสตร์ และนานาชาติศึกษา ในวอชิงตัน เผยรายงานชิ้นใหม่ในวันเดียวกันว่า ทหารสหรัฐฯและพันธมิตรกำลังสู้รบกับนักรบต่างชาติมากถึง 3,000 คน ในอิรัก ส่วนใหญ่ (ราว 20%) เป็นชาวแอลจีเรีย นอกนั้นประกอบด้วยชาวซีเรีย, เยเมน, ซูดาน, อียิปต์ และซาอุดีฯ พร้อมทั้งเตือนว่า คนกลุ่มนี้ถือเป็นภัยร้ายแรง เนื่องจากส่วนใหญ่อาจรอดชีวิต และกลายเป็นแหล่งต้นตอความรุนแรง และลัทธิสุดโต่งในประเทศอื่นๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น