กัวลาลัมเปอร์ – เมื่อ 150 ปีก่อน อังกฤษนำคนอินเดียเข้ามาทำงานในสวนยางพารา ทุกวันนี้ ชนส่วนน้อยในมาเลเซียกลุ่มนี้ ถูกพัดเพ เซซังไปมาไร้จุดหมาย จะพอมีเหลือเผื่อให้ระลึกถึง ก็เพียงเศษเล็ก เศษน้อย
บัดนี้ มีการถกเถียงเรื่องความทุกข์ยากของชนส่วนน้อยกลุ่มนี้ กันอย่างเผ็ดร้อน และก็เช่นกัน เกิดความแตกแยกกันหนักว่า อะไรคือสาเหตุ และอะไรจะนำมาช่วยแก้ไขได้
โฆษณาเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวในมาเลเซีย ที่ชื่อว่า “เอเชียของแท้” ตั้งใจแสดงภาพพจน์ความมั่งคั่งของสังคมหลายเชื้อชาติ ที่ทำมาหากินร่วมกันอย่างรุ่งเรือง และมีสันติสุข ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง ใคร ๆ ก็รู้ว่ายังมีความเกลียดชังคุกรุ่นอยู่ภายใน โดยเฉพาะในหมู่คนอินเดียเชื้อสายทมิฬในประเทศ
(ความจริง ชาวทมิฬเดินทางมาติดต่อ ค้าขายกับเอเชียอาคเนย์ มาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลแล้ว อย่าลืมเรื่องพระมหาชนก อังกฤษนำเข้าแรงงานจากอินเดียมาทำสวนยาง คงเป็นอีกกลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งต่างหาก)
หลังจาก 150 ปีของการใช้แรงงานในสวนยาง สวนปาล์ม และงานโยธา สร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นานาทุกชนิด ตอนนี้ชาวอินเดียในมาเลเซีย มีส่วนเป็นเจ้าของความมั่งคั่งของชาติ น้อยกว่า 2% ด้วยซ้ำ ทั้งนี้จากปากคำของนักเศรษฐศาสตร์หลายคน ที่ไปอภิปรายในหัวข้อเรื่องอนาคตของคนอินเดียในมาเลเซีย เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อมีคนรวมกัน คิดเป็น 8% ของจำนวนประชากร 25 ล้านคนทั่วประเทศ หรือมากเป็นอันดับ 3 รองจากคนมาเลย์ ที่เป็นเจ้าของประเทศ และคนจีน ที่อพยพเข้ามา คนอินเดียจะต้องค้นหาความสามารถพิเศษที่สืบทอดกันมา แสดงออกซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และประกาศอัตลักษณ์ของตนเอง ออกมาให้มากกว่านี้
ในปี 2004 คนอินเดียส่วนน้อย กลับมีสถิติประกอบอาชญากรรมดังนี้ คือความผิดในเด็ก และเยาวชน 15% ทำผิดโทษอาญาร้ายแรง 40% และเป็นนักโทษในเรือนจำเกือบ 50% แสดงให้เห็นถึงความหมดอาลัยตายอยากของชนชั้นสาธารณ์เหล่านี้
คนมาเลย์เป็นประชากรส่วนใหญ่ เกือบ 60% คนจีนมี 25% (แต่คุมเศรษฐกิจ) อีกกว่า 15% เป็นคนเชื้อชาติอื่น ๆ
เอ เค กาเธียห์ อดีตนักสหบาลกรรมกร กล่าวว่า “ตอนแรกที่เรามาใหม่ ๆ มีกันมาแต่หม้อ แต่ไห 3-4 ชั่วรุ่นต่อมา เราส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น คนอินเดียบางคนไม่มีอะไรเลย ต้องกลายเป็นขอทาน เราถูกดูเบา กระทั่งทอดทิ้ง ไม่เพียงแค่รัฐบาล หัวหน้าคนอินเดียของเราก็ด้วย เราไม่มีสิทธิมีเสียงในนโยบาย อนาคตของเราริบหรี่จริง ๆ”
คำพูดแบบนี้เป็นที่คุ้นเคย ได้ยินได้ฟังมาจนชินหู เขียนบ่นกันมา ก็นานนับเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ เต็มไปด้วยความระทมขมขื่น คนอินเดียบางคนก็ประสบความสำเร็จในชีวิต ปีนกระไดการศึกษา หลุดขึ้นมาจากปลักตม ทุกวันนี้ กลายเป็นนายแพทย์ วิศวกร นักบัญชีที่เชี่ยวชาญ กระทั่งมีธุรกิจของตนเอง ไปเสียก็มาก
แต่ผู้เชี่ยวชาญบงคนก็ยังกล่าวว่า คนอินเดียในมาเลเซียส่วนใหญ่ ติดจั่นอยู่ในชีวิตที่หดหู่สิ้นหวัง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวางแผนทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชั้นสูงผู้หนึ่ง จัดการอบรมแก่ปัญญาชนอินเดีย 500 คน ยืนยันว่าในการวางนโยบายแห่งชาตินั้น รัฐบาลเอาอนาคตของคนอินเดียมาคิด มาคำนวณร่วมด้วยอย่างไร นักวางแผนผู้นั้นขอให้ผู้ฟังยกมือขึ้น หากพอใจกับมาตรการของรัฐบาล “แต่กลับไม่มีผู้ใดเลยยกมือ” อาจารย์ในมหาวิทยาลัยผู้หนึ่ง ที่ร่วมฟังอยู่ด้วยกล่าว
มุสตาฟา โมฮาหมัด หัวหน้าหน่วยวางแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลผู้นั้น จึงเปลี่ยนคำถาม มาถามว่า “แล้วใครไม่พอใจ?” อาจารย์คนนั้นก็บอกสำนักข่าว Inter Press Service ของเราว่า “คราวนี้ทุกคนยกมือกับพรึบพรับ พวกเราก็บอกเขาไปตรง ๆ ว่า รัฐบาลเกือบจะไม่ทำอะไรในเรื่องพวกนี้เลย”
กระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหานี้ ใช่ว่าทางการจะมองเมินแต่อย่างเดียว ขณะที่ รัฐบาลที่ครอบงำโดยคนมาเลย์ พยายามเอาใจคนมาเลย์ ช่วยให้พวกเขาลืมตาอ้าปาก ทุกวิถีทางเท่าที่สามารถ ไม่ว่าจะเป็นให้ทุนการศึกษา ปล่อยกู้เพื่อประกอบธุรกิจ จ้างงาน ฝึกอบรมทักษะการโรงงาน ฯลฯ รัฐบาลเดียวกันนี้กลับปฏิเสธ ไม่ยอมวางนโยบายให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลเช่นนั้น กับคนอินเดียส่วนน้อย
เดนิสัน ชัยะซูรียา ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิยุทธศาสตร์สังคม กลุ่มนักคิด นักวิจัยปัญหาชนชาติอินเดียกล่าวว่า “เราไม่ได้มาขอทาน หาเศษตังนะ”
“ความจริง รัฐบาลก็มีนโยบายช่วยเหลือคนอินเดียอยู่ แต่เอามาปฏิบัติใช้ปวกเปียกเสียเหลือเกิน หากไม่แก้ไขสิ่งนี้ จะต้องมีความไม่พอใจเกิดขึ้นอีกมากมาย” ชัยะซูรียากล่าว
เขาย้ำว่าทางการควรรับคนอินเดียเข้าทำงานในภาครัฐ กันที่เรียนให้ในระดับมหาวิทยาลัย และปล่อยกู้เป็นทุนประกอบธุรกิจ ให้คนอินเดียมากขึ้น
นอกจากมีนโยบายเลิกกีดกันแล้ว รัฐบาลจะต้องเอาระบบเพิ่มโควตาที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัย จาก 5% ขึ้นเป็น 10% ให้ทุนการศึกษา และจ้างงานในระดับธุรการกับพวกเขา ในหน่วยงานภาครัฐอีกด้วย พวกหัวกระทิในชุมชนอินเดีย เคยใช้หนทางนี้ปีนกระไดสังคม หนีความยากจนเสมอมา แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ รัฐบาลไม่เปิดประตูแบบนั้นให้
ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ตำหนิการแบ่งชั้นวรรณะ และแบ่งเชื้อชาติ ในชุมชนคนอินเดียอีกด้วย ปัจจัยนี้ตกทอดกันมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ ระบบอาณานิคมอังกฤษเป็นผู้สร้างขึ้น โดยแบ่งชุมชนอินเดียออกเป็น 2 ชนชั้น พวกวรรณะมาลายาลี (จากแคว้นเกราล่า) และพวกทมิฬจากเมืองจัฟฟ์น่า (ในศรีลังกา) อยู่เหนือชาวทมิฬในวรรณะจัณฑาล ที่ประกอบด้วยคนในชุมชนราว 80%
ขณะที่พวกมาลายาลีและทมิฬจากจัฟฟ์น่า ได้ประโยชน์จากความใกล้ชิดกับนายอังกฤษ ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจ ที่กำลังทันสมัย สะสมความมั่งคั่ง และก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทางเศรษฐกิจ พวกกรรมกรทมิฬส่วนใหญ่ ก็ยังติดอยู่ในสวนยาง ใช้ชีวิตที่ระทมขมขื่นอยู่กลางป่ายางเขียวขจี ไม่มีอารยะธรรมสมัยใหม่แพร่เข้าไปถึง
ก็เหมือนคนจีนที่ยังติดต่อกับเครือข่ายของตนในแผ่นดินใหญ่ พวกมาลายาลีกับทมิฬในจัฟฟ์น่า ก็มีตาข่ายรองรับ ให้พึ่งพิงอยู่ในบ้านเกิด สามารถเลือกกระโดดกลับ หรือกระโดดไปวิมานใคร ที่ไหนก็ได้
ตรงกันข้าม พวกแรงงานทมิฬ ทิ้งหมู่บ้านในอินเดียของตัว มาตายเอาดาบหน้า ความยากจนข้นแค้น ความถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ที่โตมาจากความยากจนในสวนยาง ทำให้พวกเขาหลายคนไม่มีสิทธิแม้กระทั่งเป็นประชาชนของประเทศนี้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาหมดโอกาส ที่จะได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง และลืมตาอ้าปากกับใครเขาได้
พวกทมิฬในสวนยาง ยังต้องทุกข์หนักอีก เมื่อสวนยางและไร่ปาล์มของตน ถูกเปลี่ยนเป็นสนามกอล์ฟ บ้านจัดสรร และเมืองใหม่ อันเป็นผลมาจากการที่มาเลเซีย เติบโตทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ ในช่วงทศวรรษที่ 1990s
คนทมิฬจำนวนมากถูกถอนราก กลายเป็นกรรมกรไร้ฝีมือ เข้ามาอาศัยอยู่ในสลัม สถานที่ในอุดมคติ ที่จะบ่มเพาะอาชญากร คนติดยา และแก๊งอันธพาลทั้งหลาย
เอส อรุณเชลวัม นักกิจกรรมทางสังคมกล่าวว่า “พวกที่ย้ายหนีเข้ามาในเมือง บางทีก็แย่กว่า คือต้องมาอาศัยอยู่ในแหล่งสกปรกเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยอาชญากรรม ต้องทำงานกรรมกรค่าแรงต่ำ เพราะต่างไม่มีการศึกษาและทักษะเพียงพอ”
การมาถึงของแรงงานต่างด้าวหลายล้านคนตอนนี้ ยิ่งซ้ำเติม ทำให้แรงงานทมิฬไม่เป็นที่ต้องการทางเศรษฐกิจอีกต่อไป ชุมชนยิ่งถูกเหยียดลงไปอีก ผลักดันในเยาวชนบางคน ต้องหันไปใช้ชีวิตเยี่ยงอาชญากร
ไม่เหมือนคนเชื้อสายอินเดียกลุ่มอื่น พวกทมิฬไม่คิดใช้การศึกษาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่เพียงแต่รัฐบาล จะไม่ใส่ใจโรงเรียนของชาวทมิฬเหล่านี้เท่านั้น ชุมชนของตนก็พากันทอดทิ้ง จนกระทั่งในทุกวันนี้ คุณสมบัติทางการศึกษาของกรรมกรทมิฬ ก็ยังต่ำเอามาก ๆ
พรรคคองเกรสของคนอินเดียในมาเลเซีย (MIC) ที่เป็นคนทมิฬส่วนใหญ่ พยายามทุกวิถีทาง ที่จะให้มวลชนคนทมิฬ มีส่วนในเศรษฐกิจ โดยการตั้งสหกรณ์ เพื่อให้คนอินเดียเป็นเจ้าของกิจการ โครงการนี้ล้มไม่เป็นท่า ใช่ว่าเพราะบริหารไม่ดี แต่เป็นเพราะคนที่ได้รับความไว้ใจให้รักษาเงินสด เกิดเม้มเอาไป
ผู้นำและวิสัยทัศน์ของ MIC ก็หยุดนิ่ง เป็นเจ้าขุนมูลนาย และไร้ซึ่งอำนาจ แม้จะเป็นหุ้นส่วนในรัฐบาล พรรค MICที่นำโดยสามี เวลลู มาตั้งแต่ปี 1979 ยังไม่สามารถกดดันให้รัฐบาล ปรับปรุงความเป็นอยู่ของมวลชนคนทมิฬได้
“เขา (สามี เวลลู) บริหารพรรคเหมือนนายอากรบ่อนเบี้ยสมัยเก่า ติดสินใจไปทุกเรื่อง และคงจะยึดติดกับตำแหน่งนี้ ไปจนกว่าจะตาย” นักวิชาการผู้หนึ่งกล่าว
การที่ต้องเป็นชนส่วนน้อย คนอินเดียจึงไม่ค่อยมีอำนาจที่จะแสดงออก มีอิทธิพลหรือให้คุณูปการที่สำคัญใด ๆ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ความระทมขมขื่นของมวลชนคนทมิฬ อันดับแรก เกิดมาจากความไม่อนาทรร้อนใจ ในหมู่พวกเดียวกันเอง ต่อมา ก็เกิดจากการขูดรีออย่างเป็นระบบของทุนในช่วงระยะอาณานิคม และในปัจจุบันนี้ คือความเฉยเมยของประเทศมาเลเซีย ที่เป็นเอกราช
ต่อให้ประชุมสัมมนากันไปอีกสักสิบชาติ มีรายงานจากผู้รอบรู้อีกกระบุงใหญ่ ไม่ว่าผู้นำชุมชนคนทมิฬ หรือพรรค MIC ก็จะสามารถออกแผนการอย่างเป็นระบบ ที่รัฐบาลจะนำลงไปช่วยมวลชนคนทมิฬได้ ก็คงต้องปล่อยให้ลอยละล่องไปโดยไร้หางเสืออยู่เช่นนี้
การถูกเพิกเฉยทำให้เกิดความไม่พอใจ และความโกรธเกี้ยวเป็นคลื่นใต้น้ำในชุมชน เป็นความโกรธที่ต้องให้ความสำคัญโดยเร่งด่วน
(Inter Press Service)
บัดนี้ มีการถกเถียงเรื่องความทุกข์ยากของชนส่วนน้อยกลุ่มนี้ กันอย่างเผ็ดร้อน และก็เช่นกัน เกิดความแตกแยกกันหนักว่า อะไรคือสาเหตุ และอะไรจะนำมาช่วยแก้ไขได้
โฆษณาเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวในมาเลเซีย ที่ชื่อว่า “เอเชียของแท้” ตั้งใจแสดงภาพพจน์ความมั่งคั่งของสังคมหลายเชื้อชาติ ที่ทำมาหากินร่วมกันอย่างรุ่งเรือง และมีสันติสุข ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง ใคร ๆ ก็รู้ว่ายังมีความเกลียดชังคุกรุ่นอยู่ภายใน โดยเฉพาะในหมู่คนอินเดียเชื้อสายทมิฬในประเทศ
(ความจริง ชาวทมิฬเดินทางมาติดต่อ ค้าขายกับเอเชียอาคเนย์ มาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลแล้ว อย่าลืมเรื่องพระมหาชนก อังกฤษนำเข้าแรงงานจากอินเดียมาทำสวนยาง คงเป็นอีกกลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งต่างหาก)
หลังจาก 150 ปีของการใช้แรงงานในสวนยาง สวนปาล์ม และงานโยธา สร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นานาทุกชนิด ตอนนี้ชาวอินเดียในมาเลเซีย มีส่วนเป็นเจ้าของความมั่งคั่งของชาติ น้อยกว่า 2% ด้วยซ้ำ ทั้งนี้จากปากคำของนักเศรษฐศาสตร์หลายคน ที่ไปอภิปรายในหัวข้อเรื่องอนาคตของคนอินเดียในมาเลเซีย เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อมีคนรวมกัน คิดเป็น 8% ของจำนวนประชากร 25 ล้านคนทั่วประเทศ หรือมากเป็นอันดับ 3 รองจากคนมาเลย์ ที่เป็นเจ้าของประเทศ และคนจีน ที่อพยพเข้ามา คนอินเดียจะต้องค้นหาความสามารถพิเศษที่สืบทอดกันมา แสดงออกซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และประกาศอัตลักษณ์ของตนเอง ออกมาให้มากกว่านี้
ในปี 2004 คนอินเดียส่วนน้อย กลับมีสถิติประกอบอาชญากรรมดังนี้ คือความผิดในเด็ก และเยาวชน 15% ทำผิดโทษอาญาร้ายแรง 40% และเป็นนักโทษในเรือนจำเกือบ 50% แสดงให้เห็นถึงความหมดอาลัยตายอยากของชนชั้นสาธารณ์เหล่านี้
คนมาเลย์เป็นประชากรส่วนใหญ่ เกือบ 60% คนจีนมี 25% (แต่คุมเศรษฐกิจ) อีกกว่า 15% เป็นคนเชื้อชาติอื่น ๆ
เอ เค กาเธียห์ อดีตนักสหบาลกรรมกร กล่าวว่า “ตอนแรกที่เรามาใหม่ ๆ มีกันมาแต่หม้อ แต่ไห 3-4 ชั่วรุ่นต่อมา เราส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น คนอินเดียบางคนไม่มีอะไรเลย ต้องกลายเป็นขอทาน เราถูกดูเบา กระทั่งทอดทิ้ง ไม่เพียงแค่รัฐบาล หัวหน้าคนอินเดียของเราก็ด้วย เราไม่มีสิทธิมีเสียงในนโยบาย อนาคตของเราริบหรี่จริง ๆ”
คำพูดแบบนี้เป็นที่คุ้นเคย ได้ยินได้ฟังมาจนชินหู เขียนบ่นกันมา ก็นานนับเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ เต็มไปด้วยความระทมขมขื่น คนอินเดียบางคนก็ประสบความสำเร็จในชีวิต ปีนกระไดการศึกษา หลุดขึ้นมาจากปลักตม ทุกวันนี้ กลายเป็นนายแพทย์ วิศวกร นักบัญชีที่เชี่ยวชาญ กระทั่งมีธุรกิจของตนเอง ไปเสียก็มาก
แต่ผู้เชี่ยวชาญบงคนก็ยังกล่าวว่า คนอินเดียในมาเลเซียส่วนใหญ่ ติดจั่นอยู่ในชีวิตที่หดหู่สิ้นหวัง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวางแผนทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชั้นสูงผู้หนึ่ง จัดการอบรมแก่ปัญญาชนอินเดีย 500 คน ยืนยันว่าในการวางนโยบายแห่งชาตินั้น รัฐบาลเอาอนาคตของคนอินเดียมาคิด มาคำนวณร่วมด้วยอย่างไร นักวางแผนผู้นั้นขอให้ผู้ฟังยกมือขึ้น หากพอใจกับมาตรการของรัฐบาล “แต่กลับไม่มีผู้ใดเลยยกมือ” อาจารย์ในมหาวิทยาลัยผู้หนึ่ง ที่ร่วมฟังอยู่ด้วยกล่าว
มุสตาฟา โมฮาหมัด หัวหน้าหน่วยวางแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลผู้นั้น จึงเปลี่ยนคำถาม มาถามว่า “แล้วใครไม่พอใจ?” อาจารย์คนนั้นก็บอกสำนักข่าว Inter Press Service ของเราว่า “คราวนี้ทุกคนยกมือกับพรึบพรับ พวกเราก็บอกเขาไปตรง ๆ ว่า รัฐบาลเกือบจะไม่ทำอะไรในเรื่องพวกนี้เลย”
กระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหานี้ ใช่ว่าทางการจะมองเมินแต่อย่างเดียว ขณะที่ รัฐบาลที่ครอบงำโดยคนมาเลย์ พยายามเอาใจคนมาเลย์ ช่วยให้พวกเขาลืมตาอ้าปาก ทุกวิถีทางเท่าที่สามารถ ไม่ว่าจะเป็นให้ทุนการศึกษา ปล่อยกู้เพื่อประกอบธุรกิจ จ้างงาน ฝึกอบรมทักษะการโรงงาน ฯลฯ รัฐบาลเดียวกันนี้กลับปฏิเสธ ไม่ยอมวางนโยบายให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลเช่นนั้น กับคนอินเดียส่วนน้อย
เดนิสัน ชัยะซูรียา ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิยุทธศาสตร์สังคม กลุ่มนักคิด นักวิจัยปัญหาชนชาติอินเดียกล่าวว่า “เราไม่ได้มาขอทาน หาเศษตังนะ”
“ความจริง รัฐบาลก็มีนโยบายช่วยเหลือคนอินเดียอยู่ แต่เอามาปฏิบัติใช้ปวกเปียกเสียเหลือเกิน หากไม่แก้ไขสิ่งนี้ จะต้องมีความไม่พอใจเกิดขึ้นอีกมากมาย” ชัยะซูรียากล่าว
เขาย้ำว่าทางการควรรับคนอินเดียเข้าทำงานในภาครัฐ กันที่เรียนให้ในระดับมหาวิทยาลัย และปล่อยกู้เป็นทุนประกอบธุรกิจ ให้คนอินเดียมากขึ้น
นอกจากมีนโยบายเลิกกีดกันแล้ว รัฐบาลจะต้องเอาระบบเพิ่มโควตาที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัย จาก 5% ขึ้นเป็น 10% ให้ทุนการศึกษา และจ้างงานในระดับธุรการกับพวกเขา ในหน่วยงานภาครัฐอีกด้วย พวกหัวกระทิในชุมชนอินเดีย เคยใช้หนทางนี้ปีนกระไดสังคม หนีความยากจนเสมอมา แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ รัฐบาลไม่เปิดประตูแบบนั้นให้
ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ตำหนิการแบ่งชั้นวรรณะ และแบ่งเชื้อชาติ ในชุมชนคนอินเดียอีกด้วย ปัจจัยนี้ตกทอดกันมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ ระบบอาณานิคมอังกฤษเป็นผู้สร้างขึ้น โดยแบ่งชุมชนอินเดียออกเป็น 2 ชนชั้น พวกวรรณะมาลายาลี (จากแคว้นเกราล่า) และพวกทมิฬจากเมืองจัฟฟ์น่า (ในศรีลังกา) อยู่เหนือชาวทมิฬในวรรณะจัณฑาล ที่ประกอบด้วยคนในชุมชนราว 80%
ขณะที่พวกมาลายาลีและทมิฬจากจัฟฟ์น่า ได้ประโยชน์จากความใกล้ชิดกับนายอังกฤษ ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจ ที่กำลังทันสมัย สะสมความมั่งคั่ง และก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทางเศรษฐกิจ พวกกรรมกรทมิฬส่วนใหญ่ ก็ยังติดอยู่ในสวนยาง ใช้ชีวิตที่ระทมขมขื่นอยู่กลางป่ายางเขียวขจี ไม่มีอารยะธรรมสมัยใหม่แพร่เข้าไปถึง
ก็เหมือนคนจีนที่ยังติดต่อกับเครือข่ายของตนในแผ่นดินใหญ่ พวกมาลายาลีกับทมิฬในจัฟฟ์น่า ก็มีตาข่ายรองรับ ให้พึ่งพิงอยู่ในบ้านเกิด สามารถเลือกกระโดดกลับ หรือกระโดดไปวิมานใคร ที่ไหนก็ได้
ตรงกันข้าม พวกแรงงานทมิฬ ทิ้งหมู่บ้านในอินเดียของตัว มาตายเอาดาบหน้า ความยากจนข้นแค้น ความถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ที่โตมาจากความยากจนในสวนยาง ทำให้พวกเขาหลายคนไม่มีสิทธิแม้กระทั่งเป็นประชาชนของประเทศนี้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาหมดโอกาส ที่จะได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง และลืมตาอ้าปากกับใครเขาได้
พวกทมิฬในสวนยาง ยังต้องทุกข์หนักอีก เมื่อสวนยางและไร่ปาล์มของตน ถูกเปลี่ยนเป็นสนามกอล์ฟ บ้านจัดสรร และเมืองใหม่ อันเป็นผลมาจากการที่มาเลเซีย เติบโตทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ ในช่วงทศวรรษที่ 1990s
คนทมิฬจำนวนมากถูกถอนราก กลายเป็นกรรมกรไร้ฝีมือ เข้ามาอาศัยอยู่ในสลัม สถานที่ในอุดมคติ ที่จะบ่มเพาะอาชญากร คนติดยา และแก๊งอันธพาลทั้งหลาย
เอส อรุณเชลวัม นักกิจกรรมทางสังคมกล่าวว่า “พวกที่ย้ายหนีเข้ามาในเมือง บางทีก็แย่กว่า คือต้องมาอาศัยอยู่ในแหล่งสกปรกเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยอาชญากรรม ต้องทำงานกรรมกรค่าแรงต่ำ เพราะต่างไม่มีการศึกษาและทักษะเพียงพอ”
การมาถึงของแรงงานต่างด้าวหลายล้านคนตอนนี้ ยิ่งซ้ำเติม ทำให้แรงงานทมิฬไม่เป็นที่ต้องการทางเศรษฐกิจอีกต่อไป ชุมชนยิ่งถูกเหยียดลงไปอีก ผลักดันในเยาวชนบางคน ต้องหันไปใช้ชีวิตเยี่ยงอาชญากร
ไม่เหมือนคนเชื้อสายอินเดียกลุ่มอื่น พวกทมิฬไม่คิดใช้การศึกษาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่เพียงแต่รัฐบาล จะไม่ใส่ใจโรงเรียนของชาวทมิฬเหล่านี้เท่านั้น ชุมชนของตนก็พากันทอดทิ้ง จนกระทั่งในทุกวันนี้ คุณสมบัติทางการศึกษาของกรรมกรทมิฬ ก็ยังต่ำเอามาก ๆ
พรรคคองเกรสของคนอินเดียในมาเลเซีย (MIC) ที่เป็นคนทมิฬส่วนใหญ่ พยายามทุกวิถีทาง ที่จะให้มวลชนคนทมิฬ มีส่วนในเศรษฐกิจ โดยการตั้งสหกรณ์ เพื่อให้คนอินเดียเป็นเจ้าของกิจการ โครงการนี้ล้มไม่เป็นท่า ใช่ว่าเพราะบริหารไม่ดี แต่เป็นเพราะคนที่ได้รับความไว้ใจให้รักษาเงินสด เกิดเม้มเอาไป
ผู้นำและวิสัยทัศน์ของ MIC ก็หยุดนิ่ง เป็นเจ้าขุนมูลนาย และไร้ซึ่งอำนาจ แม้จะเป็นหุ้นส่วนในรัฐบาล พรรค MICที่นำโดยสามี เวลลู มาตั้งแต่ปี 1979 ยังไม่สามารถกดดันให้รัฐบาล ปรับปรุงความเป็นอยู่ของมวลชนคนทมิฬได้
“เขา (สามี เวลลู) บริหารพรรคเหมือนนายอากรบ่อนเบี้ยสมัยเก่า ติดสินใจไปทุกเรื่อง และคงจะยึดติดกับตำแหน่งนี้ ไปจนกว่าจะตาย” นักวิชาการผู้หนึ่งกล่าว
การที่ต้องเป็นชนส่วนน้อย คนอินเดียจึงไม่ค่อยมีอำนาจที่จะแสดงออก มีอิทธิพลหรือให้คุณูปการที่สำคัญใด ๆ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ความระทมขมขื่นของมวลชนคนทมิฬ อันดับแรก เกิดมาจากความไม่อนาทรร้อนใจ ในหมู่พวกเดียวกันเอง ต่อมา ก็เกิดจากการขูดรีออย่างเป็นระบบของทุนในช่วงระยะอาณานิคม และในปัจจุบันนี้ คือความเฉยเมยของประเทศมาเลเซีย ที่เป็นเอกราช
ต่อให้ประชุมสัมมนากันไปอีกสักสิบชาติ มีรายงานจากผู้รอบรู้อีกกระบุงใหญ่ ไม่ว่าผู้นำชุมชนคนทมิฬ หรือพรรค MIC ก็จะสามารถออกแผนการอย่างเป็นระบบ ที่รัฐบาลจะนำลงไปช่วยมวลชนคนทมิฬได้ ก็คงต้องปล่อยให้ลอยละล่องไปโดยไร้หางเสืออยู่เช่นนี้
การถูกเพิกเฉยทำให้เกิดความไม่พอใจ และความโกรธเกี้ยวเป็นคลื่นใต้น้ำในชุมชน เป็นความโกรธที่ต้องให้ความสำคัญโดยเร่งด่วน
(Inter Press Service)