เอเอฟพี - ผู้เชี่ยวชาญชี้ การจ่ายค่าชดเชยอย่างเหมาะสม ให้แก่เกษตรกรที่สัตว์ปีกของพวกเขาถูกทำลายทิ้งยกเล้า ถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งยวดของการรณรงค์ป้องกันไม่ให้ไข้หวัดนก แปรเปลี่ยนเป็นโรคระบาดร้ายแรงในหมู่มนุษย์ ทว่ายังคงมีรูโหว่อีกเป็นจำนวนมากในระบบนี้ที่จำเป็นต้องอุดต้องแก้ไข
แม้การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน เป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่ง ที่จะชักชวนให้เกษตรกรยอมรายงานเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดสัตว์ปีกเจ็บป่วย แทนที่จะพยายามนำมันไปขายหรือกินมันเสีย แต่ปัญหามีอยู่ว่า ผู้คนจำนวนมากยังไม่ทราบว่า สามารถขอค่าชดเชยเช่นนี้ได้
และสำหรับพวกที่ทราบกัน ก็ยังคงมีเสียงร้องเรียนว่าเงินที่จ่ายให้ยังไม่เพียงพอ
"เกษตรกรจำนวนมากยังคงไม่ทราบว่ามีการชดเชย ถ้ารัฐบาลของชาติต่างๆ ต้องการให้สิ่งนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยงานของรัฐบาลจริงๆ แล้ว พวกเขาจำเป็นต้องทำให้ประชาชนทราบเรื่องนี้กันให้มากขึ้น" เป็นความเห็นของ เฮงก์ เบเคดัม ผู้แทนองค์การอนามัยโลก(ฮู) ประจำจีน
แดนมังกรนั้นเป็นหนึ่งในชาติผู้เลี้ยงไก่มากที่สุดของโลก และในปีนี้มีรายงานเกิดการระบาดของไข้หวัดนกในสัตว์ปีกอย่างน้อย 6 จุดแล้ว หลังจากปีที่ผ่านมาเกิดการระบาดถึง 50 จุดใน 16 มณฑลทั่วประเทศ ทำให้สัตว์ปีกตายหรือถูกฆ่าไปหลายล้านตัว
ทางการจีนกำหนดอัตราค่าชดเชยไว้ว่า ไก่ที่ถูกสังหารแต่ละตัวจะจ่ายให้ 10 หยวน (1.2 ดอลลาร์) ถึงแม้เกษตรกรบอกว่า เนื่องจากมีการทุจริตคอร์รัปชั่น เม็ดเงินที่พวกเขาได้จริงๆ จึงอยู่ในคราวครึ่งเดียวเท่านั้น
กระนั้น ผู้แทนฮูก็ยังชมเชยความพยายามของจีน
"ปีที่แล้วจีนเรียนรู้จากประเทศอื่นได้เร็วมาก และได้จ่ายชดเชยการฆ่าสัตว์ปีกจริงๆ และเม็ดเงินก็มาถึงจริงๆ พวกเขาเข้าใจดีว่านี่เป็นส่วนสำคัญมากในการจัดการกับปัญหานี้" เบเคดัมกล่าว
แต่แม้จ่ายเงินให้กับสัตว์ปีกที่ฆ่า ก็ยังมีช่องโหว่ตรงที่กว่าเกษตรกรจะเริ่มเลี้ยงไก่เป็ดได้ใหม่ หลังจากรุ่นเดิมถูกสังหารแล้ว ก็อาจต้องใช้เวลาถึง 3 เดือน
"พวกคนจำนวนมากหาเลี้ยงชีพด้วยการขายไข่" เบเคดัมอธิบาย "พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วเมื่อไม่มีไก่เหลือเลย ผมก็ไม่แน่ใจว่าปัญหานี้จะดูแลแก้ไขกันยังไง"
ในเวียดนาม ซึ่งมีการสังหารสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 40 ล้านตัว เรื่องเงินชดเชยคือประเด็นที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันหนัก
ปีที่แล้วเกษตรกรจำนวนมากปิดบังไม่บอกที่ตั้งเล้าไก่ที่ติดโรค และนำไก่ออกมาขายเพื่อตัดขาดทุน ผลก็คือทำให้เชื้อโรคยิ่งแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง
พอถึงปีนี้ รัฐบาลจึงจ่ายเงิน 15,000 ด่ง (1 ดอลลาร์) สำหรับไก่แต่ละตัวที่ถูกฆ่า ทว่านี่ก็เพียงแค่ 50% ของราคาขายปลีกในตลาด
นอกจากมาตรการที่ไม่จูงใจเช่นนี้แล้ว เวียดนามยังเต็มไปด้วยเล้าขนาดเล็กๆ ของแต่ละครอบครัว ซึ่งเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดไว้กินเอง สำหรับพวกเขาแล้ว หากสัตว์เหล่านี้ถูกฆ่ายกเล้า ก๋เป็นความสูญเสียใหญ่ พวกเขาจึงต้องการจะกินมันมากกว่าทิ้งไปเปล่าๆ
"เราพยายามเกลี้ยกล่อม ทั้งโฆษณาผ่านสื่อมวลชนและใบปลิว เพื่อชี้ถึงอันตรายของการกินเป็ดตายไก่ตาย ... แต่เราก็รู้ว่าประชาชนยังคงกินกันอยู่" เหวียนฟุกไถ ผู้อำนวยการฝ่ายสุขภาพสัตว์ของจังหวัดบัคเหลียว ทางตอนใต้ของเวียดนามกล่าว
ในอินโดนีเซีย ซึ่งสัตว์ปีกกว่า 16 ล้านตัวตายเพราะโรคหรือถูกฆ่าทิ้งเพราะติดเชื้อ รัฐบาลยังคงไม่จ่ายชดเชยให้ผู้เลี้ยงไก่รายย่อย
อัดนัน อาหมัด แห่งสำนักงานสุขภาพสัตว์ กระทรวงเกษตรยอมรับว่า สภาพเช่นนี้ทำให้ลำบากมากที่จะใช้มาตรการบังคับฆ่ายกเล้า
สำหรับเกษตรกรรายใหญ่ๆ ขึ้นมา ซึ่งได้ค่าชดเชย แต่พวกเขาก็ยังบ่นว่าได้น้อยเกินไป แถมต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าเงินจะมาถึงมือ
ประเทศไทยก็ถูกไข้หวัดนกเล่นงานจนงอมเหมือนกัน โดยนับแต่เดือนธันวาคม 2003 มีสัตว์ปีกตายและถูกฆ่าไปกว่า 60 ล้านตัว
รัฐบาลไทยได้ใช้เงินไป 5,300 ล้านบาทเพื่อชดเชยเกษตรกร แต่แม้กระนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกก็ยังขาดทุนหนักในปีที่แล้ว ถึงขึ้นทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยจำนวนมากต้องออกจากธุรกิจนี้ไป
ประมวลสถานการณ์ไข้หวัดนก