xs
xsm
sm
md
lg

กองกำลังกะเรนนี*กับที่มั่นผืนสุดท้าย

เผยแพร่:   โดย: ลูซี่ เมอร์เรย์ กับรายงานเสริมของ เบห์ เรห์ บยาร์ดู

(*กระหร่าง หรือ Karenni เป็นพวกที่พูดภาษาเดียวกับกระเหรี่ยง คือภาษาตระกูลจีน-ธิเบต แต่เป็นพวกที่แยกออกมาต่างหาก เช่นเดียวกับพวกปะหล่อง หรือที่ไทยเรียกว่า ‘กระเหรี่ยงคอยาว’ นั่นเอง)

สงครามที่ยาวนานที่สุด และที่โลกได้รู้น้อยที่สุด ในทวีปเอเชียใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อวันที่ 6 มกราคม รัฐบาลทหารพม่า ที่รู้จักกันในนาม สภาเพื่อสันติสุขและการพัฒนาแห่งรัฐ (SPDC) ทำการรุกใหญ่เข้าตีฐานกองทัพกะหร่าง (KA) ที่ฐานที่มั่น ‘เนี้ยะเมาะว์’ อันเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายบนยอดเขา ของกบฏกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ การปะทะครั้งนี้ เป็นเพียง 1 ในหลายร้อยครั้ง นับตั้งแต่ฝ่ายนำของกระหร่าง เริ่มสู้รบกับรัฐบาลพม่า มาเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน แต่การรบครั้งนี้ นับว่ารุนแรงที่สุด เท่าที่ฝ่ายนำของกระหร่างเคยเห็น

ทหารพม่าถล่มฐานแห่งนี้ทุกวัน มาตั้งแต่เดือนมกราคม เสียงปืนใหญ่ได้ยินไปถึงค่ายผู้ลี้ภัยของกระหร่าง ตามชายแดนไทย นอว์เซะห์ ประชากรผู้หนึ่งในค่ายผู้ลี้ภัยกล่าวว่า “ตอนแรกที่ได้ยินเสียงปืนใหญ่ฉันกลัวมาก นอนไม่หลับเอาเลย” พอเวลาผ่านไปเกือบ 3 เดือน เธอก็เริ่มเคยชิน แต่ความกลัวก็ยังอยู่

นายพลอ่องไท ผู้บัญชาการกองทัพกระหร่าง กล่าวว่า ทหารรัฐบาลเริ่มเสริมกำลัง เข้ามาประชิดฐานเนี้ยะเมาะว์ ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม แบ่งออกเป็น 4 กรม (กำลังรวม 650 คน) บวกกับกองกำลังกระหร่างอีกกองหนึ่ง กำลังพล 700 คน สังกัดแนวร่วมปลดแอกประชาชนแห่งชาติกระหร่าง (Karenni National People's Liberation Front - KNPLF) ที่แยกตัวออกไปจากพรรคก้าวหน้าประชาชาติกระหร่าง (Karenni National Progressive Party - KNPP) ไปเมื่อหลายปีก่อน การที่เมื่อหลายปีก่อน รัฐบาลพยายามตัดถนน ผ่าพื้นที่ของเคเอ ทำให้ทหารรัฐบาลสามารถขนปืนใหญ่ ขึ้นมายิงถล่มฐานเนี้ยะเมาะว์ได้สำเร็จ นายพลอ่องไทกล่าวว่า การสู้รบครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด คือมีการปะทะกันแล้วกว่า 60 ครั้ง และทหารรัฐบาลยิงปืนใหญ่ถล่มใส่เกือบทุกวัน โดยเฉพาะ การยิงถล่มเมื่อเดือนมกราคม ทำให้การบรรเทาทุกข์ขององค์กรเอกชนในพื้นที่ ต้องหยุดชะงัก

คนภายนอกจำนวนมาก รู้เรื่องที่นางอองซานซูจี ผู้ที่พยายามนำระบอบประชาธิปไตย เข้ามาใช้ในพม่า และเป็นหัวหน้าสันนิบาติประชาธิปไตยแห่งชาติ ถูกกักบริเวณ แต่มีน้อยนัก ที่จะทราบเรื่องการต่อสู้ของชนส่วนน้อยต่าง ๆ อย่างเช่นพวกกระหร่างกลุ่มนี้

พวกกระหร่างอยู่ในรัฐคะยาห์ อันเป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดในพม่า (ตรงข้ามแม่ฮ่องสอน) ทว่าเต็มไปด้วยชนกลุ่มน้อย หลายเชื้อชาติ ประชากรส่วนใหญ่ในรัฐนี้ คือพวกคะยาห์ ด้วยเหตุที่มีนิสัยรักอิสระ พวกกระหร่างจึงไม่ยอมร่วมในการปกครองของพม่า ตั้งแต่ครั้งยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในปี 1948 จึงได้รับสิทธิปกครองตนเองมาโดยตลอด โดยมีสัญญาระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของพม่าปี 1947 ให้สิทธิชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่ม สามารถแยกตัวเป็นอิสระได้ ภายในเวลา 10 ปี แต่เนื่องจากเกิดความไม่พอใจ การครอบงำของรัฐบาลกลาง จึงได้มีการจัดตั้งกองกำลังอิสระขึ้นมากมายในพม่า สำหรับในรัฐคะยาห์ ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก มาตั้งแต่ปี 1957 มีการจัดตั้งพรรคก้าวหน้าประชาชาติกระหร่าง (KNPP) และกองทัพกระหร่าง (KA) ขึ้นทำสงครามมาโดยตลอด ยกเว้นช่วงหยุดยิงสั้น ๆ ในปี 1995

การสู้รบในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เป็นไปแบบประปราย โดย KA ลักลอบส่งกองโจร เข้าไปโจมตีพื้นที่ของรัฐบาล แม้ในเขตรัฐคะยาห์เอง จะมีกองทหารรัฐบาลหนาแน่น แต่ก็ทำได้แค่กดขี่ปราบปรามประชาชนที่สนับสนุนพรรค KNPP พวกบรรเทาทุกข์เอกชน มักรายงานเกี่ยวกับการซุ่มโจมตี การกดขี่ ปราบปรามของรัฐบาลเสมอ ๆ รวมทั้งการเผาหมู่บ้าน พืชผล การกระทำทารุณกับผู้ใหญ่บ้าน ที่นิยมพวก
KA และการข่มขืนสตรีชนกลุ่มน้อยด้วย

การที่ทหารฝ่ายรัฐบาลมีจำนวนมากขึ้น และใช้นโยบายพุ่งเป้าใส่ประชาชน ทำให้มีการลี้ภัยเข้ามาในดินแดนไทย ผู้ลี้ภัยกระหร่างในไทย มีถึง 22,600 คน แบ่งเป็น 2 ค่าย (จากชนกลุ่มน้อยของพม่า ทั้งหมดในไทย 140,000 คน) นอกจากนี้ ยังมีพวกลี้ภัย ภายในรัฐคะยาห์อีกเป็นจำนวนมาก องค์การบรรเทาทุกข์ในพม่า ประมาณว่า พวกหลังนี้มีถึง 45,000-50,000 คน ชีวิตคนเหล่านี้ประสบความยากลำบากมาก เพราะต้องอพยพโยกย้าย หนีสงครามไปเรื่อย ๆ ไม่มีอาหาร น้ำสะอาด สุขอนามัยที่ดี อันเป็นสาเหตุของโรคระบาดต่าง ๆ เช่นอหิวาตกโรค และไข้จับสั่น รวมทั้งอันตายจากกับระเบิดอีกด้วย

สันติภาพค้างเติ่ง

หลังจากผ่านหลายทศวรรษของสงคราม ในที่สุด ในปี 2002 การนำของ KNPP ก็เลิกล้มความคิดที่จะแยกตัวเป็นอิสระ หันไปร่วมกับชนส่วนน้อยอื่น ๆ เรียกร้องการปกครองตนเองแทน แต่การสู้รบก็ไม่ได้บรรเทาเบาบางลง ในปี 2004 มีทีท่าจะเกิดสันติภาพ ช่วงสั้น ๆ เพราะในตอนต้นปีนั้น ฝ่ายสหภาพกระเหรี่ยงแห่งชาติ (KNU) อันเป็นกลุ่มติดอาวุธ ที่ใหญ่ที่สุดในฝ่ายชนกลุ่มน้อย ประกาศหยุดยิงกับรัฐบาล หาก KNU ลงนามสันติภาพกับรัฐบาล ฝ่าย KNPP ที่มีกำลังน้อยกว่า ก็รู้ว่าหากขืนสู้ต่อไป ต้องลำบากแน่ จึงคิดจะสงบศึกกับรัฐบาลบ้าง โดย KNPP ส่งตัวแทนไปเจรจากับฝ่ายรัฐบาล เพื่อให้เกิดความไว้วางใจหลายชุด

แต่แล้ว พอมาถึงเดือนตุลาคม เมื่อมีการ ‘รัฐประหาร ’ปลดนายกรัฐมนตรี พลเอกขิ่นยุนต์ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป นายก ฯ ผู้นี้ เป็นตัวตั้งตัวตีลงนามสัญญาหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม หลังจากปลดขิ่นยุนต์ สันติภาพกับ KNU ก็ทำท่าจะล่ม ในเดือนนั้น ตัวแทน KNU กลับจากการเจรจาที่เมืองมอว์ลำยีน (เมาะละแหม่ง) มือเปล่า และการยิงถล่มฐานนยาโมว์ ก็ดำเนินต่อไป

ทำไมตอนนี้ ?

ผู้สังเกตการณ์บางคน เชื่อว่าการโจมตี KNU กับ KNPP เชื่อมโยงโดยตรง กับการปลดขิ่นยุนต์ โดยมีทฤษฎีว่า เมื่อไม่มีขิ่นยุนต์ บรรดานายพลหัวกระดานในย่างกุ้ง นำโดยพลเอกหม่องเอ รองประธาน SPDC ก็สามารถใช้การทหาร ยุติปัญหาชนกลุ่มน้อย ได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน แต่ถึงขิ่นยุนต์ตกกระป๋อง จะเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่การใช้ทหารโจมตีคราวนี้ ก็มีความสลับซับซ้อนอีกมาก ตอเรห์ ผู้นำอาวุโส KNPP กล่าวว่า “เราเชื่อว่า SPDC ใช้เงินซื้อ KNPLF 70 ล้านจัต (US$12.4 ล้านเหรียญ) ให้รบกับเรา เพราะก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยทำแบบนี้เลย แต่พอขิ่นยุนต์ถูกปลด พวกเจรจาก็เริ่มมาเรียกร้อง กดดันมากขึ้น พวกนายพลในย่างกุ้ง ต้องการให้พวกเขาเข้าร่วมในการประชุมแห่งชาติ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ ฝ่ายทหารแสดงออกชัดว่า หากการประชุมสิ้นสุดลง กลุ่มที่เจรจาสันติภาพทั้งหมด ต้องวางอาวุธ”

เวลางวดเข้าเต็มทน รัฐบาลทหารพม่า ต้องการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนปี 2006 อันเป็นปีที่ตน จะขึ้นเป็นประธานกลุ่มอาเซียน ในเรื่องนี้ ตอเรห์กล่าวว่า “พวก KNPLF เชื่อว่า หากพวกเขาต้องวางอาวุธหลังการประชุมยุติ พวกเขาก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ พวกเขากลัวจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งอำนาจ และทั้งโอกาสทางธุรกิจไป ดังนั้น จึงหันไปช่วยรัฐบาลรบกับเรา ตนจะได้คงสภาพเช่นนี้เอาไว้”

ตอเรห์กล่าวว่า ขณะนี้ รัฐบาลก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ ในรัฐกระเหรี่ยง และรัฐฉาน คือใช้ชนกลุ่มน้อย สู้กับชนกลุ่มน้อย “พวก SPDC คงบอกพวกนั้นว่า ‘หากคิดจะรักษาอำนาจ เก็บปืนเอาไว้ ก็ต้องช่วยเราบ้าง’ มีเสียงลือว่า รัฐบาลบอยากขจัดพวกเราทั้งหมดออกไป ภายในปี 2006”

ผู้นำกระหร่างคนอื่น ๆ ยังเชื่ออีกว่า การเคลื่อนไหวของรัฐบาลพม่าครั้งนี้ ยังมีเบื้องหลังสำคัญอีกประการหนึ่ง คือทางการท้องถิ่นของไทย กับรัฐบาลพม่า ปรารถนาจะพัฒนาการค้าชายแดนในจุดนี้ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน และบริเวณแถบนี้จะต้องมั่นคง ปลอดภัยก่อน และฝ่าย KNPLF ต้องทำให้แน่ใจว่า ในกรณีชายแดนเปิด ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการค้าข้ามพรมแดน ต้องเป็นตน ไม่ใช่ KNPP

สงครามระหว่างเชื้อชาติ อันเป็นมรดกตกทอดอันขมขื่นมานานนี้ จะต้องได้รับการแก้ไข หากพม่าอยากให้ตนเองมีสันติภาพ ผู้นำกระหร่างนั้น สนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยในพม่า แต่ถึงแม้ว่า พรุ่งนี้ พม่าจะเป็นประชาธิปไตย ก็ยังไม่มีหลักประกันว่า สงครามระหว่างเชื้อชาติจะยุติลง นโยบาย ‘แบ่งแยก แล้วปกครอง’ ที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษเคยใช้ และขณะนี้รัฐบาลพม่าใช้อยู่ ได้สร้างรอยแยก ที่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเยียวยา

การปิดฉากสงคราม 50 ปี

ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังอย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลพม่า ก็กำลังพยายามยุติสงคราม ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ของทวีปเอเชียลงให้ได้ ตลอดหลายสัปดาห์มานี้ ยังมีการโจมตีจุดอื่น ๆ ทางตะวันตกของรัฐคะยาห์อีก แต่ที่เนี้ยะเมาะว์หนักที่สุด ตอเรห์กล่าวว่า “หากพวกเขายึดเนี้ยะเมาะว์ได้ พวกเราก็จะเสียหายหนักมาก”

ภายใต้สภาพเช่นนี้ ผู้ลี้ภัยกระหร่างยังต้องรอต่อไป ฐานเนี้ยะเมาะว์อยู่ห่างจากค่ายของพวกเขา ไม่ไกลนัก หากฐานนี้แตก พวกเขาจะไม่ปลอดภัย พวกเขากลัวว่า ถ้าหากไม่มีกองทัพ KA ค่ายแห่งนี้ก็จะไม่มีหลักประกัน ที่จะถูกผลักดัน กลับเข้าไปในประเทศ “หาก KA เสียฐานแห่งนั้นไป ผมก็คิดไม่ออกว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง บางทีพวกเราอาจจะถูกผลักดันให้กลับประเทศ” โดห์เระห์ ผู้อพยพผู้หนึ่งบอก

ในตอนนี้ ฝ่าย KA ยังยืนหยัดรักษาฐานที่มั่นสุดท้ายเอาไว้ ฐานเนี้ยะเมาะว์มีสภาพทางยุทธศาสตร์ดีมาก เป็นภูเขาสูงชัน ป่าไม้รกชัฏ จากฐานมองลงไป เห็นค่ายทหารพม่า ที่ตั้งอยู่ในห้วยลึก การเข้าตีที่ได้รับการสนับสนุนจากปืนใหญ่ ในหลายสัปดาห์มานี้ ต่างไร้ผล แต่ฐานนี้ ก็ใช่ว่าจะพิชิตไม่ได้ นักรบกระหร่างธรรมดาผู้หนึ่ง ที่เหน็ดเหนื่อยในการเดิน ลงจากฐาน มาพักที่ค่ายผู้ลี้ภัย กล่าวว่า “หากทหารพม่าคิดจะยึดฐานให้ได้ พวกเขาจะต้องล้มตายกันมากนัก แต่หากพวกเขาโจมตีหนักจริง ปืนใหญ่สนับสนุนจริง ฐานนี้ก็เสียได้เช่นกัน”

สำหรับตอเรห์ สถานการณ์ดูท่าจะทรุดลงเรื่อย ๆ “วันที่ 27 มีนาคมนี้ เป็นวันกองทัพพม่า เราเชื่อว่า รัฐบาลคงจะตีฐานนี้ให้แตกก่อนนั้น” แต่นายพลอ่องไท ยังคงเชื่อว่าทหารฝ่ายตนจะรับมือได้ “เราพร้อมที่จะสู้ ... เราจะสู้ ตราบใดที่ยังถือปืนได้”

ทหารกระหร่างและครอบครัว ที่หลบอยู่ในป่า และค่ายผู้ลี้ภัยในละแวกนั้น ยังหวังว่าเหตุการณ์คงไม่พัฒนาไปจบที่จุดนั้น

*ชื่อทั้งหมดในบคความนี้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว

Lucy Murray is a freelance writer and analyst. She has been covering events in Myanmar for more than nine years. Beh Reh Byardu is deputy editor of the independent news organization Kantarawaddy Times.
กำลังโหลดความคิดเห็น