เอเอฟพี – วานนี้(31) ศาลฝรั่งเศสได้เริ่มเปิดการไต่สวนคดีผู้เห็นเหตุการณ์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 200 คนในกรณีอุบัติเหตุจนเกิดเพลิงไหม้อุโมงค์ม็องต์บลังค์ลอดเทือกเขาแิอลป์เมื่อปี 1999 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนถึง 39 คน
ผู้ที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ได้แก่ บริษัท 4 แห่ง และคนอีก 12 คน ซึ่งรวมถึงชาวเบลเยียมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนขับรถคันต้นเพลิง จนทำให้อุโมงค์ลอดเทือกเขาแอลป์ ที่ยาวกว่า 11 กิโลเมตรนี้ เกิดไฟไหม้ไปกว่าครึ่งอุโมงค์ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1999
หลังเกิดเพลิงไหม้ ไฟก็ได้ลามไปติดรถบรรทุกสินค้าจำนวน 24 คัน รถยนต์อีก 9 คัน และมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งคันที่ขับตามหลังรถกระบะมา จนทำให้มีควันไฟหนาซึ่งได้คร่าชีวิตของเหยื่อส่วนใหญ่ และพนักงานดับเพลิงต้องใช้เวลานานกว่า 3 วัน เพื่อดับเพลิงครั้งนี้
การไต่สวนครั้งนี้เชื่อว่าจะใช้เวลาราว 3 เดือน เพื่อสอบสวนถึงลำดับเหตุการณ์ และข้อผิดพลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ โดยในการไต่สวนนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 20 คน และผู้เห็นเหตุการณ์อีก 160 คน มาให้ปากคำในศาล
สำหรับข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นก็คือ ไฟต้นเหตุนั้นเกิดจากก้นบุหรี่ ความผิดพลาดของเครื่องยนต์รถกระบะวอลโว่ หรือเกิดจากการขาดการบำรุงรักษาที่ดี
หลังจากเกิดเพลิงไหม้ อุโมงค์แห่งนี้ก็ได้ถูกปิดเพื่อปรับปรุงเป็นเวลานานกว่า 3 ปี พร้อมติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ตรวจจับควันไฟ ส่วนความปลอดภัยพิเศษอีกหลายส่วน และปล่องทางออกคู่ขนาน
สำหรับความผิดพลาดสำคัญที่ถูกยกมาเป็นประเด็นในการไต่สวนก็คือ ความล่าช้าในการออกมารับผิดชอบและการขาดความประสานกันระหว่างบริษัทของฝรั่งเศสและอิตาลี และการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ดูแลความปลอดภัยในอุโมงค์ ซึ่งได้ตัดสินใจสูบเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในจุดที่เกิดเพลิงไหม้ จนทำให้ไฟได้ทวีความรุนแรงขึ้น
อนึ่ง อีกผู้หนึ่งที่ถูกเพ่งเล็งในคดีนี้ก็คือ กิลเบิร์ต เดอกราฟ ชาวเบลเยียมวัย 62 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถกระบะ ซึ่งเขาสามารถเอาตัวรอดออกมาจากรถกระบะที่เกิดไฟลุกท่วมของเขาได้ แต่เขาได้จอดรถทิ้งไว้กลางอุโมงค์ จนไปกีดขวางรถที่ตามหลังเขามาทำให้รถต้องติดอยู่ในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยควันและไฟ
ทั้งนี้ เดอกราฟกล่าวว่า เขากลัวว่าตัวเองจะต้องกลายมาป็นแพะรับผิดในโศกนาฏกรรมครั้งนี้