xs
xsm
sm
md
lg

ทหารไทยในอิรักจะกลับบ้านแล้ว!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องที่คนไทยหลายคนมีความห่วงใยทหารไทยในอิรักเนื่องจากสถานการณ์ในอิรักมีความรุนแรงมากขึ้นและขยายวงกว้างขึ้น จะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องห่วงอีกต่อไปแล้ว

เพราะมีการแถลงข่าวกองทัพไทยประจำเดือนมิถุนายน 2547 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2547 ว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้อนุมัติให้กองกำลังเฉพาะกิจ 976 คือกองกำลังทหารไทยที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศอิรักเดินทางกลับประเทศเนื่องจากเสร็จสิ้นภารกิจตามกำหนดเวลา 1 ปีแล้ว

ตามแถลงข่าวดังกล่าวนั้นระบุว่า กองกำลังเฉพาะกิจ 976 ที่ปฏิบัติภารกิจใน อิรักจะเสร็จสิ้นภารกิจในวันที่ 20 กันยายน 2547 ซึ่งเป็นการครบกำหนดเวลา 1 ปี และเป็นการเดินทางกลับประเทศตามกำหนดปกติ แต่ในการเดินทางกลับประเทศนั้นได้มีการเสนอแผนขอรับการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายจากอเมริกา

แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นก่อนหน้ากำหนดการวันที่ 20 กันยายน 2547 ผู้บัญชาการกองกำลังทหารไทยในอิรักก็มีอำนาจที่จะพิจารณาถอนกลับก่อนกำหนดหรือโยกย้ายกำลังไปอยู่ที่ประเทศข้างเคียงได้ เพราะได้มีการกำหนดแผนถอนกำลังยามฉุกเฉินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

จึงเป็นอันว่ากองกำลังทหารไทยที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในอิรักจะมีกำหนดการเดินทางกลับประเทศภายในวันที่ 20 กันยายน 2547 อย่างแน่นอนแล้ว ยกเว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นก่อน ผู้บัญชาการทหารไทยในอิรักก็มีอำนาจตัดสินใจเคลื่อนกำลังกลับประเทศก่อนกำหนดได้ หรือจะโยกย้ายกำลังทหารไทยไปอยู่ประเทศข้างเคียงก่อนก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร

คนที่จะโล่งอกโล่งใจกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คงจะเป็นนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เพราะจะได้ไม่ต้องรำคาญกับถ้อยคำถากถางของขาประจำบางคนบางพวกว่าที่เกิดเหตุร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นเพราะรัฐบาลไทยส่งทหารไทยไปปฏิบัติการในอิรักอีกต่อไป

และที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกด่าถ้าหากว่าทหารไทยในอิรักเกิดถูกโจมตีหรือเกิดถูกลูกหลงเจ็บตายอีกต่อไป

ปัญหาเรื่องทหารไทยไปอิรักนั้นเป็นปัญหาที่มีการค่อนขอดกันตลอดมาว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคนที่ค่อนขอดเรื่องนี้บางคนก็รู้ความจริงดีอยู่แล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่บางคนก็ค่อนขอดไปตามกระแสและบางคนก็ค่อนขอดไปเพราะความไม่รู้เรื่องก็มี

ความจริงเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่รัฐบาลส่งทหารไทยไปอิรัก เหตุการณ์ไม่สงบเป็นเรื่องหนึ่ง การส่งทหารไทยไปอิรักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้เป็นเหตุผลกันและกันเลย

ประเทศไทยได้ส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจในอิรักตามความต้องการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือเหมือนที่เคยปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอตลอดมา ดังเช่นกรณีล่าสุดคือการส่งทหารไทยไปปฏิบัติภารกิจในประเทศติมอร์ตะวันออก

ก็เป็นธรรมดาของประเทศซึ่งเป็นสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพหรือปฏิบัติภารกิจเพื่อมนุษยธรรมของสหประชาชาติ ประเทศไหน ๆ หรือรัฐบาลไทยชุดไหน ๆ ก็ปฏิบัติอย่างเดียวกันทั้งนั้น

แต่เนื่องจากปัญหาในอิรักเป็นเรื่องแหลมคม เสี่ยงภัยต่อการที่จะถูกกล่าวหาได้ว่าประเทศไทยส่งทหารเข้าไปเพราะอยู่ใต้การบงการของอเมริกา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแทนที่จะเป็นผลดี การณ์ก็จะเป็นผลร้ายกับประเทศไทย

เพราะโลกทุกวันนี้อเมริกาและพันธมิตรที่ใกล้ชิดยืนคนละฝักคนละฝ่าย กลายเป็นคู่ปรปักษ์ที่ต้องทำลายล้างกันกับโลกมุสลิม ดังนั้นถ้าหากประเทศไทยต้องตกเป็นฝักฝ่ายอยู่ภายใต้อเมริกาก็จะชักพาเภทภัยสู่ประเทศไทย ให้กลายเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์กับโลกมุสลิมตามไปด้วย

รัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร รู้ทันเกม ทันการณ์ ในเรื่องนี้ จึงได้คิดอ่านป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดแก่พี่น้องมุสลิมทั่วโลก

แทนที่จะขอรับเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจากอเมริกาหรือจากสหประชาชาติ ซึ่งก็อาจจะขอรับการสนับสนุนได้ แต่รัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ทำ กลับยินยอมที่จะควักกระเป๋าของประเทศไทยเองเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติภารกิจของทหารไทยในอิรัก ทำให้ใครหยิบฉวยขึ้นเป็นข้อกล่าวหาบิดเบือนไม่ได้ นี่อย่างหนึ่ง

แล้วให้พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ไปประสานงานทำความเข้าใจในทางลับกับประเทศมุสลิม โดยเฉพาะผู้นับถือนิกายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น ให้เข้าใจถึงภารกิจและบทบาทของทหารไทยว่าไม่ใช่ไปช่วยเขารบราฆ่าฟัน แต่ที่ไปนั้นก็เพื่อไปช่วยเหลือประชาชนชาวอิรักให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือในทางมนุษยธรรมเท่านั้น นี่อีกอย่างหนึ่ง

งานแบบนี้ลุงจิ๋วทำได้สบายหมูมาก จึงแทนที่ชาวมุสลิมในอิรักหรือบรรดานักรบมุสลิมที่เข้ามาช่วยเหลือกองกำลังต่อต้านการยึดครองในอิรักจะชิงชังรังเกียจทหารไทย กลับเข้าอกเข้าใจ มีมิตรไมตรีต่อกันเป็นอันดี

ทหารไทยอยู่ที่ไหนจึงมีความปลอดภัยที่นั่น จนเป็นที่กล่าวขวัญกันในบรรดาหมู่ทหารไทยในอิรักว่า พกพาพระเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์นัก ไปไหนก็ปลอดภัย อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย ไม่มีเหตุร้ายใด ๆ มาแผ้วพาน โดยที่หลายคนไม่ได้รู้หรอกว่าความปลอดภัยที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะฝ่ามือของลุงจิ๋วไปกางกั้นเป็นเกราะเพชรคุ้มภัยไว้ให้

สิ่งที่กล่าวขวัญกันนี้ไม่ใช่กล่าวขวัญกันแต่เพียงทหารไทย แต่ในบรรดาฝรั่งต่างชาติในค่ายลิม่าก็พากันแปลกใจ ดังนั้นใครจะไปไหนมาไหนถ้าอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้แล้วก็จะชวนทหารไทยไปด้วย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัย

แท้จริงแล้วความปลอดภัยของทหารไทยและความปลอดภัยในทุกที่ที่ทหารไทยอยู่คือสัญลักษณ์ของความเข้าอกเข้าใจหรือการทำความเข้าอกเข้าใจกันต่างหาก

เพราะเมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วประชาชนชาวอิรักหรือแม้กระทั่งนักรบมุสลิมที่เข้าไปช่วยเหลือทำสงครามต่อต้านการยึดครองในอิรักก็ไม่ได้ถือว่าทหารไทยเป็นศัตรูหรือผู้ที่จะต้องมุ่งร้ายอีกต่อไป แต่ถือว่าเป็นผู้ที่มาช่วยเหลือเพื่อประโยชน์และความสุขของคนอิรัก ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยกันบอกกล่าวเล่าขานให้เกิดความเข้าใจ และทำให้ความปลอดภัยเกิดขึ้น

บางทีคนเจ็บ คนป่วย ที่มาขอรับการรักษาก็อาจเป็นนักรบที่ประสบเหตุและบาดเจ็บ และเมื่อมีโอกาสก็มาขอรับการรักษา ทหารไทยก็ช่วยดูแลรักษาให้ไปตามหน้าที่ ความมีน้ำใจไมตรีเช่นนี้จึงเป็นที่เล่าขานและก่อให้เกิดไมตรีจิตขึ้น

ว่ากันว่าหากสิ้นศึกสงครามแล้ว อิรักเป็นตัวของตัวเองแล้ว ประเทศไทยจะเป็นชาติแรก ๆ สุดที่รัฐบาลประชาชนของอิรักจะต้องตอบแทนน้ำใจไมตรีให้ และถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่านั่นเป็นผลงานอันล้ำเลิศของทหารไทยที่มีเกียรติภูมิเล่าลือตลอดมาว่าไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็มีมิตรไมตรีกับผู้คนที่นั่น และผูกพันไมตรียืดยาวไปเบื้องหน้าเสมอมา

ทหารไทยไปปฏิบัติการอยู่ในอิรักช้านานแล้ว มีความแคล้วคลาดปลอดภัยทั้งหมด ยกเว้นก็แต่สองคนที่อยู่เวรยามและถูกระเบิดคาร์บอมบ์เสียชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นความเศร้าสลดใจของคนไทยทั้งประเทศ

แต่ก็เป็นความเศร้าสลดใจของชาวอิรักและเหล่านักรบมุสลิมด้วยเช่นเดียวกัน จากข่าวสารที่ส่งมาถึงรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้แสดงความเสียใจที่เกิดเหตุพลาดพลั้งเพราะชาวอิรักไม่รู้ว่าเป็นห้วงเวลาที่ทหารไทยเข้าเวรยาม หรือปฏิบัติภารกิจอยู่ในที่นั้น ณ เวลานั้น จึงพลาดพลั้งเกิดเหตุขึ้น

ผู้คนของเขาที่เกี่ยวข้องต่างแสดงความเสียอกเสียใจและขออภัยต่อพระเจ้าที่ทำให้ผู้คนซึ่งมาช่วยเหลือชาวอิรักต้องถึงแก่ความตายโดยไม่เจตนา

ทหารไทยที่ไปอิรักมีภารกิจสามประการเท่านั้น คือ ทำงานด้านการช่าง ได้แก่งานปรับปรุงถนนเข้าหมู่บ้าน ซ่อมแซมโรงเรียน ซ่อมแซมมัสยิด ช่วยเหลือชุมชน ซ่อมแซมบ้านเรือน และมอบสิ่งอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนและเด็กนักเรียนอย่างหนึ่ง

ทำงานด้านการแพทย์ ให้บริการด้านการแพทย์แก่ชาวอิรักตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ และจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่บริการรักษาประชาชนในชุมชนต่าง ๆ อย่างหนึ่ง

ทำงานด้านการส่งเสริมพัฒนาอาชีพทางการเกษตร ทำแปลงสาธิต แนะนำการปรับปรุงสภาพดิน ทดลองปลูกพืชผลทางการเกษตร และแนะนำวิธีการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ รวมทั้งแจกปุ๋ยหมักและเมล็ดพันธุ์พืชตลอดจนกล้าผักแก่ประชาชนชาวอิรัก

หน้าที่และภารกิจเช่นนี้เป็นภาระหน้าที่ทางมนุษยธรรม ซึ่งตอนแรก ๆ ชาวอิรักเขาก็ตั้งข้อกังขาอยู่เหมือนกันว่าทหารไทยไปอิรักเป็นเรื่องของการเอามนุษยธรรมบังหน้า แต่เนื้อหาคือช่วยอเมริกาทำสงครามอยู่เหมือนกัน เมื่อเขากังขาเช่นนี้เขาก็จับตา มองอย่างใกล้ชิด

วันเวลาที่ผ่านไปและการปฏิบัติตน การปฏิบัติหน้าที่ของทหารไทยในอิรัก ก็ได้พิสูจน์ความจริงให้เป็นที่เชื่อถือ ดังนั้นจึงมีความไว้วางใจกันขึ้น ก่อเกิดเป็นมิตรไมตรีกันขึ้น

ดังนั้นความปลอดภัยของทหารไทยในอิรักจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเข้าอกเข้าใจ เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและไมตรีจิตในสถานการณ์วิกฤตและสงคราม

เป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในยามวิกฤตและสถานการณ์สงครามนั้นไมตรีจิตก็มีขึ้นได้ และสันติภาพก็ดำรงอยู่ได้ด้วย ไม่จำเป็นจะต้องรบราฆ่าฟันหรือหวาดระแวงแคลงใจกันเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าจะมีความจริงใจและจริงจังในการสร้างมิตรไมตรีและในการสร้างสันติภาพหรือไม่เท่านั้น

เหตุการณ์ในอิรักวิกฤตและรุนแรงเพียงใด ไมตรีจิตและสันติภาพก็ดำรงอยู่ได้ สำมะหาอะไรกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่จะมีไมตรีจิตและสันติภาพเกิดขึ้นไม่ได้

ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าใจและทำเป็นหรือไม่เท่านั้น

ก็ขอแสดงความดีใจกับบรรดาญาติมิตรของทหารไทยในอิรักที่จะได้พบหน้าลูกหลานสามีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียทีหนึ่ง.
กำลังโหลดความคิดเห็น