อดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน เป็นผู้นำสหรัฐฯซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่รู้สึกประทับใจ และจดจำไว้ด้วยภาพลักษณ์แห่งความนิยมชมชื่น อสัญกรรมของเรแกนจึงกลายเป็นโอกาสอันงดงาม ที่บรรดานักอนุรักษนิยมและคนพรรครีพับลิกันซึ่งถือว่าสืบทอดมรดกแนวนโยบายและความคิดของเขา จะต้องป่าวร้องประโคมความยิ่งใหญ่และความสำเร็จแห่งยุคสมัยของประธานาธิบดีผู้เฒ่าคนนี้ ขณะที่พวกเสรีนิยมและพรรคเดโมแครตก็ต้องหาช่องคอยเบรกคอยเถียง พร้อมกับพยายามไม่ให้ถูกมองว่ากลายเป็นการอิจฉาให้ร้ายผู้เสียชีวิต
หนึ่งในนักเสรีนิยมเหล่านี้คือ นักวิชาการเจ้าประจำ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ด้วย
ข้อเขียนล่าสุดในคอลัมน์ของเขา (8 มิย.) ครุกแมนเริ่มต้นด้วยการกระแนะกระแหนเล็กๆ ว่า ตลอดสัปดาห์นี้ เรากำลังจะได้ยินเรื่องราวเยอะแยะเกี่ยวกับโรนัลด์ เรแกน จำนวนมากทีเดียวเป็นเรื่องผิดๆ
อาทิ แหล่งข่าวจำนวนหนึ่งอ้างกันแล้วว่า เรแกนเป็นประธานาธิบดีซึ่งเป็นที่นิยมที่สุดในยุคสมัยใหม่ ข้อเท็จจริงคือแม้เรแกนได้รับความนิยมสูงมากในปี 1984 และ 1985 แต่ช่วงหลังแห่งสมัยประธานาธิบดีของเขา กลับถูกปกคลุมด้วยเงาทะมึนของกรณีอื้อฉาวอิหร่าน-คอนทรา ขณะที่ตามการสำรวจของสำนักแกลลัปนั้น บิลล์ คลินตัน มีเรตติ้งความยอมรับโดยเฉลี่ย ดีกว่าเรแกนเล็กน้อย และเรตติ้งสูงกว่ามากทีเดียวในระยะ 2 ปีสุดท้ายที่ดำรงตำแหน่ง
แล้วครุกแมนก็เดินเข้าสู่เรื่องเศรษฐกิจที่เขาสันทัด เขาบอกว่า เรายังจะต้องได้ยินด้วยว่าสมัยประธานาธิบดีของเรแกน เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างไม่มียุคไหนเทียมทาน
นี่ก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ ในสมัยประธานาธิบดีคลินตัน เศรษฐกิจเติบโตรวดเร็วกว่ายุคเรแกนนิดหน่อย และตามการประมาณการของสำนักงานงบประมาณแห่งรัฐสภา สำหรับครอบครัวอเมริกันแบบฉบับ เงินได้หลังหักภาษีและปรับปัจจัยด้านเงินเฟ้อแล้ว ในระยะจากปี 1992 ถึง 2000 (ยุคคลินตัน) จะเพิ่มขึ้นกว่าระยะจากปี 1980 ถึง 1988 (ยุคเรแกน) ถึงกว่า 2 เท่าตัว
ครุกแมนบอกว่า อย่างไรก็ตาม โรนัลด์ เรแกน ยังคงมีฐานะพิเศษอยู่ในแวดวงนโยบายด้านภาษี แต่ไม่ใช่ในฐานะนักบุญอุปถัมภ์แห่งนโยบายการลดภาษี ตรงข้ามกลับต้องให้เครดิตแก่เขาที่คำนึงถึงผลทางปฏิบัติ และมีความรับผิดชอบต่างหาก
กล่าวคือ หลังจากเขาลดภาษีครั้งมโหฬารในปี 1981 แล้ว เรแกนก็กลับขึ้นภาษีครั้งใหญ่ 2 ครั้ง นั่นคือปี 1981 และปี 1983 อันที่จริงแล้ว ไม่มีประธานาธิบดียามสันติคนไหนด้วยซ้ำที่ประกาศขึ้นภาษีเอากับคนจำนวนมากขนาดนี้
ครุกแมนเล่าว่า การขึ้นภาษีครั้งแรกของเรแกนในปี 1982 เกิดขึ้นเพราะตอนนั้นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการคาดการณ์งบประมาณซึ่งใช้เป็นเหตุผลรองรับการลดภาษีในปี 1981 เป็นการคาดหมายที่เล็งผลเลิศจนผิดเพี้ยนไปมาก เรแกนจึงปรับแก้ด้วยการยอมให้เพิ่มภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากลับขึ้นไประดับหนึ่ง รวมความแล้ว การเพิ่มภาษีในปี 1982 เป็นการตัดทอนการลดภาษีเมื่อปี 1981 ลงมาในราวหนึ่งในสาม หากเทียบเป็นร้อยละของจีดีพีแล้ว การเพิ่มขึ้นคราวนี้มีขนาดใหญ่กว่าการขึ้นภาษีในปี 1993 ของคลินตันเสียอีก
ครุกแมนไม่วายแขวะเล่นงานประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช โดยบอกว่าเรแกนนั้นเมื่อเผชิญกับหลักฐานที่ว่าการลดภาษีของเขากลายเป็นการไม่รับผิดชอบทางการคลัง เขาก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข ตรงกันข้ามกับบุชที่เจอกับหลักฐานทำนองเดียวกัน แต่กลับเดินหน้าผลักดันให้ลดภาษีมากขึ้นอีก
"ทั้งนโยบายการต่างประเทศและนโยบายในประเทศ เรแกนแสดงให้เห็นแล้วว่ามีทั้งการคำนึงถึงผลทางปฏิบัติในบางระดับ และสำนึกแห่งความรับผิดชอบในบางระดับ แต่ส่วนประกอบเหล่านี้กลับขาดหายไปอย่างน่าขมขื่นจากบุรุษผู้ซึ่งอวดอ้างว่าเป็นทายาททางการเมืองของเขา" ครุกแมนเหน็บบุชอีกทีหนึ่งเป็นการตบท้าย