xs
xsm
sm
md
lg

ความสำเร็จและความล้มเหลว ของประมุขอเมริกันนาม'เรแกน'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บีบีซีนิวส์-รากเหง้าความเป็นมาของเรแกนนั้นค่อนข้างต่ำต้อย เขาเป็นบุตรของเซลส์แมนขายรองเท้าผู้ติดเหล้า อาชีพแรกที่ทำให้เขาฉายแววรุ่งก็คือการเป็นนักวิจารณ์กีฬาทางวิทยุ ซึ่งเขาได้โอกาสใช้พรสวรรค์ความเป็นนักสื่อสารติดต่อผู้คนของเขาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก

ระหว่างทำข่าวช่วงการฝึกซ้อมของทีมต่างๆ ก่อนเริ่มฤดูแข่งขันเบสบอลที่ลอสแองเจลิส เรแกนก็ตัดสินใจหันไปเป็นนักแสดง เขาทำสัญญาอยู่ในสังกัดค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์สในปี 1937 และแสดงภาพยนตร์ราว 50 เรื่อง แต่ไม่เคยไต่ขึ้นไปถึงระดับดาราแนวหน้า โดยตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเป็น พระเอกในระดับหนังเกรดบี

อย่างไรก็ตาม ฮอลลีวู้ดเป็นประตูเปิดให้เขาก้าวสู่วงการเมือง ในฐานะประธานสมาคมนักแสดงภาพยนตร์ เขามีส่วนช่วยกวาดล้างสิ่งที่เขามองว่าเป็นการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ออกไปจากธุรกิจภาพยนตร์

ปี 1966 ถึง 74 เรแกนได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และแม้เป็นผู้ว่าการแนวคิดขวาจัดในมลรัฐซึ่งขึ้นชื่อความเป็นเสรีนิยม เขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นนักบริหารที่มีความสามารถ

หลังจากประสบความล้มเหลวหลายครั้งในการแข่งขันเป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกันเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาก็ประสบความสำเร็จในที่สุดเมื่อปี 1980 อีกทั้งสามารถเขี่ย จิมมี่ คาร์เตอร์ ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ซึ่งถูกโจมตีหนักว่าทำให้เกียรติศักดิ์ศรีของอเมริกาตกต่ำ โดยเฉพาะกรณีอิหร่านบุกสถานทูตสหรัฐฯและจับกุมชาวอเมริกันหลายสิบคนเป็นตัวประกัน

เพียง 2 เดือนหลังสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเมื่อมกราคม 1981 เรแกนถูกมือปืนยิงใส่ที่หน้าอก แต่โชคดีรอดชีวิตมาได้โดยยังมีกำลังใจดีเยี่ยม หลังจากนั้น 1 เดือน เขาก็กลับมาทำงานตามที่หาเสียงไว้ นั่นคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีและตัดงบประมาณ ทว่างบประมาณรายการหนึ่งที่เรแกนไม่ตัดและกลับเพิ่มให้ด้วยซ้ำ คืองบกลาโหม ในยุคของเขา สหรัฐฯมีการปรับปรุงอาวุธให้ทันสมัยในแทบทุกด้าน จากค่าใช้จ่ายกลาโหมที่สูงขึ้นในระดับปีละ 13%

ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ เขาจับมือเป็นพันธมิตรกับแธตเชอร์ของอังกฤษ แต่นโยบายต่างประเทศของเขาก็ถูกวิพากษ์ว่าสับสนวุ่นวาย เดือนตุลาคม 1983 นาวิกโยธินอเมริกันเกือบ 250 คนซึ่งสังกัดกองกำลังรักษาสันติภาพในเลบานอน ถูกระเบิดรถบรรทุกสังหารในกรุงเบรุต มีเสียงพูดกันว่านโยบายตะวันออกกลางของสหรัฐฯล้มเหลว พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ว่า วอชิงตันไม่มีการตัดสินใจกำหนดนโยบาย

นอกจากนั้น ยังมีมุขหลุดๆ ที่ทำให้เขาเสียชื่อ โดยอันซึ่งเด่นที่สุดคือเขาพูดตลกเรื่องทิ้งระเบิดใส่สหภาพโซเวียต ขณะที่ทดสอบไมโครโฟนก่อนการพูดกับประชาชนทางวิทยุประจำสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม นักวิพากษ์วิจารณ์ต่างบ่นพึมด้วยความอิจฉา ที่เรแกนเป็นประธานาธิบดี "เทฟลอน" ตัวจริง คือไม่ว่าทำผิดอะไรก็ดูไม่กระทบกระเทือนตัวเขาเลย เขายังสามารถอยู่รอดได้แม้งบประมาณขาดดุลมหาศาล และความสัมพันธ์กับโซเวียตอยู่ในอาการแย่สุดๆ

ในการเลือกตั้งปี 1984 เขาชนะคู่แข่งจากเดโมแครตแบบขาดลอย และหลังจากนั้นเรแกนดูจะคิดฝากรอยจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ โดยหันความสนใจมาที่การติดต่อตกลงกับมอสโก

ปี 1985 เขาพบปะกับ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตคนใหม่ ที่นครเจนีวา การหารือเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาแต่ด้วยบรรยากาศฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นที่จะทำให้โลกมีความปลอดภัยมากขึ้น

ทว่าอุปสรรคติดขัดสำคัญอยู่ที่ความฝันของเรแกนซึ่งจะสร้างระบบป้องกันทางยุทธศาสตร์ โดยมีฐานอยู่ในอวกาศ หรือที่เรียกขานกันว่าอาวุธ "สตาร์วอร์"

การเจรจาอย่างจริงจังมากขึ้นระหว่างเรแกนกับกอร์บาชอฟเปิดขึ้นที่กรุงเรกยะวิก เมืองหลวงไอซ์แลนด์ ในเดือนตุลาคม 1986 โดยอภิมหาอำนาจทั้งสองพิจารณากันเรื่องที่จะทำลายอาวุธนิวเคลียร์ลงให้หมด แต่แล้วการหารือก็ต้องล้มไปเพราะประเด็นอาวุธสตาร์วอร์

เมื่อมองย้อนกลับไป การเจรจาที่เรกยะวิกต้องถือว่าเป็นการผ่าทางตัน ซึ่งนำไปสู่การกำจัดอาวุธนิวเคลียร์หลายๆ ประเภทในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ปี 1986 ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในยุคของเรแกน ในอีกแง่มุมหนึ่งด้วย นั่นคือ มันเป็นปีที่เกิดกรณีอื้อฉาว "อิหร่าน-คอนทรา" เรแกนถูกบังคับให้ต้องยอมรับว่า เขาได้อนุมัติให้ส่งอาวุธยุทธปัจจัยไปยังอิหร่าน ซึ่งขัดแย้งอย่างโจ่งแจ้งกับนโยบายที่เขาแถลงเอาไว้ เวลาต่อมายังปรากฏด้วยว่ากำไรจากการขายอาวุธเหล่านี้ได้ถูกส่งไปช่วยเหลือพวกขบถ "คอนทรา" ซึ่งกำลังสู้รบกับรัฐบาลฝ่ายซ้ายในนิการากัว

ช่วงเวลา 8 ปีที่เขานั่งอยู่ในทำเนียบขาว จึงมีทั้งชัยชนะและความหายนะ เขาลงจากตำแหน่งโดยที่ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล สูงลิ่วยิ่งกว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันทั้ง 39 คนก่อนหน้าเขาเคยทำเอาไว้รวมกันเสียอีก

แม้เรแกนทำหน้าที่ในสไตล์เป็นประมุขแห่งรัฐซึ่งมีความเป็นผู้นำอันเข้มแข็ง ยิ่งกว่าจะเป็นหัวหน้างานคอยสนใจติดตามรายละเอียด จนมีความผิดพลาดใหญ่ๆ ปรากฏ แต่ในฐานะนักสื่อสารดีเยี่ยมที่สุดเท่าที่ทำเนียบขาวเคยมีมา เขาก็สามารถทำให้อเมริการู้สึกมั่นอกมั่นใจตัวเองขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น