xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยเงินบาทเปิดตลาดที่ 34.73 จับตาฟันด์โฟลว์ฝั่งตลาดหุ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย 
เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.73 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.71 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.65-34.80 บาท/ดอลลาร์ โดยบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง และผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินดอลลาร์ เงินเยนญี่ปุ่น และพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ท่ามกลางความกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อของธนาคารกลางและผลกระทบจากมาตรการ Lockdown ของจีน ซึ่งภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดนั้นได้ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ผันผวนหนัก

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทยังมีโอกาสที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่าตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย ทั้งนี้ ต้องจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะฟันด์โฟลว์ในฝั่งหุ้นว่า จะเริ่มเห็นการกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในจังหวะย่อตัวของนักลงทุนต่างชาติหรือไม่ หรือตลาดหุ้นไทยจะยังคงเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติต่อ โดยหากแรงขายสินทรัพย์จากนักลงทุนต่างชาติไม่รุนแรงมากนัก การอ่อนค่าของเงินบาทอาจจำกัดในระยะสั้นนี้ ในขณะที่ผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงใกล้ระดับ 34.75-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้โซนดังกล่าวอาจพอเป็นแนวต้านในช่วงนี้ได้

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.13% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถรีบาวนด์กลับมาปิดตลาดที่ +0.06% ได้จากแรงซื้อหุ้นเทคฯ ใหญ่บางตัว เช่น Amazon +1.48% Facebook +1.32% ในจังหวะที่มีการย่อตัวลงหนัก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่นักลงทุนเริ่มทยอยสะสมมากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งข้อมูลในอดีตสะท้อนว่า หุ้นกลุ่ม Healthcare นั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นได้ในช่วงที่ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอนสูง จากความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอหรือแม้กระทั่งในสภาวะ Stagflation อีกทั้งระดับราคาปัจจุบันของหุ้นกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นโดยรวม

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรปพลิกกลับมาปรับตัวลง -0.94% จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจอาจชะลอตัวมากกว่าคาด หลังเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาสที่ 1 ขยายตัวเพียง +0.8% จากไตรมาสก่อนหน้า แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ความกังวลผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรพลังงานกับรัสเซียยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นยุโรปอยู่ ซึ่งความกังวลแนวโน้มเศษฐกิจชะลอมากกว่าคาดได้สะท้อนผ่านแรงขายหุ้นกลุ่ม Cyclical เช่น กลุ่มพลังงาน Enel -2.4% Total Energies -2.0% กลุ่มการเงิน Allianz -3.3% Santander -1.5% เป็นต้น

ในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือบอนด์ระยะยาวเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.86% อย่างไรก็ดี ความกังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงไปมาก และเราเชื่อว่านักลงทุนบางส่วนอาจใช้จังหวะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวลดลงในการทยอยขายทำกำไร (Sell on Rally) หลังบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงจากเกือบ 3.20% ทั้งนี้ ในระยะสั้นที่ตลาดยังคงเผชิญความผันผวน เรามองว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ในโซน 2.80%-2.90%

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) สามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 104.8 จุด โดยเงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความผันผวนในตลาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงแรงของสกุลเงินฝั่งยุโรป เช่น เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.038 ดอลลาร์ต่อยูโร และ 1.220 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ตามลำดับ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปชะลอมากกว่าคาดและเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ได้ นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ แม้ว่าตลาดการเงินจะยังคงปิดรับความเสี่ยงก็ตาม โดยราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,822 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (Consumer Sentiment) ที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งคาดว่าอาจปรับลงเล็กน้อยสู่ระดับ 64 จุด ในเดือนพฤษภาคม ตามความกังวลผลกระทบเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อสูงและการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทว่าปัจจัยหนุนยังคงเป็นตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ดังจะเห็นได้จากยอดการจ้างนอกภาคเกษตรกรรมและค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าเฟด หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอลงมากเท่าที่ตลาดคาดหวัง โดยตลาดจะรอจับตาว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะมีมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินเฟดอย่างไร โดยเฉพาะโอกาสในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเพื่อคุมเงินเฟ้อ
กำลังโหลดความคิดเห็น