xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยเงินบาทเปิดที่ 34.04 เตือนตลาดผันผวนหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทยเผย ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.04 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.53 บาทต่อดอลลาร์ จากระดับปิด ณ วันที่ 3 พฤษภาคม และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.40 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดการเงินผันผวนหนักและกลับมาอยู่ในบรรยากาศปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่า ปัญหาเงินเฟ้อที่ยังมีความไม่แน่นอนอาจทำให้ธนาคารกลางสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้เล่นบางส่วนเริ่มมองว่าการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง สุดท้ายอาจกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงหนัก จนเข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ได้ ดังที่จะเห็นได้จากการออกมาเตือนของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ว่าเศรษฐกิจอังกฤษมีความเสี่ยงที่อาจจะเผชิญภาวะถดถอยได้ ท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและการทยอยขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังคงหนุนเงินดอลลาร์จะเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงฝั่งอ่อนค่าเงินบาทยังคงอยู่ โดยเฉพาะปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในจีน ที่ทำให้นักลงทุนยังไม่รีบกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น EM Asia ทำให้เรามองว่าเงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways นอกจากนี้ เรามองว่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งอาจทำให้เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนและอ่อนค่าลงได้บ้าง แต่มองว่าเงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์อยู่ เนื่องจากเป็นระดับที่ผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์เช่นกัน

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ส่วนปัจจัยวันนี้ ตลาดจะจับตาแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยตลาดมองว่าภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ โดยยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจเพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนราย ส่วนอัตราว่างงาน (Unemployment) ยังอยู่ในระดับต่ำราว 3.6% ซึ่งภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและมีความต้องการแรงงานที่สูงนั้นจะช่วยหนุนให้รายได้เฉลี่ย (Average Hourly Earnings) โตขึ้นกว่า +5.5%y/y ซึ่งภาพตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่งในภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงนั้น จะสามารถทำให้เฟดสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดได้รับรู้ไปแล้วพอสมควรได้

ในฝั่งสหรัฐฯ แม้ว่าตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง แต่การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 3.00% กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงหนักกว่า -4.99% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -3.56% ท่ามกลางแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และการลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนัก

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรปผันผวนหนักเช่นกัน โดยในช่วงแรกตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหลังรับรู้ผลการประชุมเฟด ทว่า ผู้เล่นในตลาดกลับมาปิดรับความเสี่ยงในช่วงท้าย จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักจากการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ดัชนี STOXX50 ปรับตัวลง -0.76% นำโดยหุ้นกลุ่มการเงิน Allianz -6.5% Santander -3.0% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (ที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน) เช่น Louis Vuitton -3.3% Hermes -2.5%

ทางด้านตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่องทะลุระดับ 3.00% และแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ 3.10% หลังผู้เล่นในตลาดยังมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังดำเนินต่อไปเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ และ Terminal Rate ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดอาจอยู่ที่ 3.25% อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเพิ่มการถือครองบอนด์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย กอปรกับระดับของบอนด์ยิลด์ที่สูงกว่า 3.00% ก็น่าสนใจมากขึ้น ทำให้สุดท้าย บอนด์ยิลด์ 10ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่ระดับ 3.04% ซึ่งเรามองว่าจุดสูงสุดของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาและจะอยู่ในไตรมาสที่ 2 นี้ และเชื่อว่านักลงทุนสถาบันจะรอจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในการทยอยเพิ่มสถานะถือครอง หรือ เพิ่ม Duration พอร์ตการลงทุน

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) พุ่งขึ้นสู่ระดับ 103.5 จุด กลับไปสู่ระดับก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟดอีกครั้ง โดยเงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่อ่อนค่าลงหนักสู่ระดับ 1.237 ดอลลาร์ต่อปอนด์ หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.00% และเตือนความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะปิดรับความเสี่ยงหนัก แต่ราคาทองคำกลับปรับตัวลงสู่ระดับ 1,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนอาจรอทยอยซื้อทองคำ ในจังหวะย่อตัวหนัก เพื่อลุ้นการรีบาวนด์เหมือนในรอบที่ผ่านมา โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
กำลังโหลดความคิดเห็น