xs
xsm
sm
md
lg

PwC แนะจับตา DeFi ระบบการเงินไร้ตัวกลางในไทยปี 65

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



PwC ประเทศไทย ชี้ระบบการเงินไร้ตัวกลาง หรือ DeFi มีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ หลังอุตสาหกรรมทางการเงินของประเทศปรับสู่บริการทางการเงินและการลงทุนดิจิทัลหลากหลาย และช่วยเปิดโอกาสในการเข้าถึงระบบการเงินได้ง่ายและไร้พรมแดนมากขึ้น แต่คาด DeFi ยังคงไม่สามารถเข้ามาทดแทนการทำธุรกรรมของธนาคารแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด แนะผู้ประกอบการธนาคารปรับตัวเพิ่ม DeFi เข้าไปในระบบนิเวศเพื่อต่อยอดธุรกิจ

น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา และหัวหน้ากลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ระบบการเงินไร้ตัวกลาง (Decentralised Finance : DeFi) กำลังเข้ามามีบทบาทในการให้บริการทางการเงินในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุน บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชัน สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ ที่ปัจจุบันได้ทำการศึกษาและพัฒนาแพลตฟอร์ม รวมไปถึงสร้างบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้บริการ

"ในปีนี้การใช้ DeFi ของไทยน่าจะโตขึ้นไปอีกเยอะ เพราะการทำธุรกรรมต่างๆ ระหว่างผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเดียวกัน ไม่ว่าจะโอนเงิน ชำระเงินและมอบทรัพย์สิน หรือกู้ยืมเงินนั้น ทำได้สะดวกสบายกว่าเดิม และยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ถูกลงด้วย" น.ส.วิไลพร กล่าว

คาด DeFi ทำดีมานด์ของการใช้บริการทางการเงินกับแบงก์ลด "หากในอนาคตมีการใช้ DeFi มากขึ้นเรื่อยๆ เราคาดว่าความต้องการใช้บริการทางการเงินกับสถาบันการเงินจะลดลงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะด้านการลงทุน เพราะผู้ลงทุนน่าจะโยกเงินไปลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีพอสมควร" น.ส.วิไลพร กล่าวแนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับรายงาน DeFi : Defining the future of finance ของ PwC ที่ได้เปิดเผยถึง 6 บริการทางการเงินบนระบบนิเวศของ DeFi ที่จะเข้ามาส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทางการเงินโลกไว้ดังต่อไปนี้

1.สเตเบิลคอยน์ ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกประเภทหนึ่งที่มีกลไกตรึงราคาให้สอดคล้องกับมูลค่าของสินทรัพย์สำรอง เพื่อลดความผันผวนของราคาเหรียญ

2.ตลาดแลกเปลี่ยนแบบไร้ตัวกลาง (Decentralised exchanges) ทำหน้าที่เป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ใช้สามารถทำการซื้อขายได้โดยไม่มีตัวกลาง

3.การปล่อยกู้และกู้ยืม เช่นเดียวกัน ในการทำธุรกรรมการปล่อยกู้และกู้ยืมด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางแต่อย่างใด

4.ประกันภัย ในส่วนของประกันภัยจะอนุญาตให้ผู้ใช้ได้รับความคุ้มครองความเสี่ยงบางประเภท (เช่น ความล้มเหลวของสัญญาอัจฉริยะ หรือความเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการฝากคริปโตเคอร์เรนซี) โดยไม่ต้องมีบริษัทประกันภัยมาเป็นตัวกลาง

5.อนุพันธ์ (สินทรัพย์สังเคราะห์) คือสัญญาที่มีมูลค่าอ้างอิงกับสินทรัพย์การเงินต้นแบบ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถชื้อขายสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านเครือข่ายบล็อกเชนได้โดยไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์อ้างอิง

6.ระบบค้นหาบริการ DeFi (DeFi Aggregators) ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูล เช่น ราคาและผลตอบแทนที่ผู้ใช้จะได้รับเพื่อสร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพในระบบนิเวศของ DeFi

"การเข้าถึงบริการที่ง่าย มีขั้นตอนและการตรวจสอบที่น้อย ทำให้ DeFi เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน และกลุ่มนักลงทุนซึ่งได้ให้ความสนใจในการทำรายการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยส่วนใหญ่จะเป็นพวก younger generation ที่เติบโตมาในโลกยุคดิจิทัล จึงมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ" น.ส.วิไลพร กล่าว DeFi ยังไม่สามารถทดแทนธุรกรรมของธนาคารได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ DeFi ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อช่วยในการบันทึกและดำเนินธุรกรรมทางการเงิน โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่าง สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์

อย่างไรก็ดี แม้ว่ากระแสของ DeFi จะเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายและมีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น แต่ น.ส.วิไลพร กล่าวว่า "DeFi จะยังคงไม่สามารถทดแทนการให้บริการของธนาคารแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด เพราะมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการใช้งานอยู่มาก เช่น การโดนเจาะระบบ หรือการทุจริต ที่ล้วนสร้างความเสียหายให้ผู้ลงทุนและผู้ใช้บริการ"

ในส่วนการปรับตัวของธนาคารนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาพิจารณารูปแบบการทำงานร่วมกับ DeFi ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางที่สรรหาและรวบรวมบริการต่างๆ บน DeFi (Platform Aggregator) หรือพัฒนาและดำเนินการแพลตฟอร์มให้บริการ DeFi ของตัวเอง (Platform Operator) เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากบริการบน DeFi ผ่านธนาคารได้ นอกเหนือไปจากการศึกษารูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ของ DeFi อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการให้บริการ น.ส.วิไลพร กล่าว

นอกจากนี้ ธนาคารยังควรเพิ่ม DeFi เข้าไปในระบบนิเวศของตัวเองเพื่อขยายการเข้าถึงประชากรในกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Unbanked population) โดยคาดว่ามีอยู่ราว 1.7 พันล้านคนทั่วโลก[1] ซึ่งในอนาคต หากคนกลุ่มนี้มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นจะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ธนาคารต้องการได้

"เราจะเห็นว่าปัจจุบันมีธนาคารขนาดใหญ่ของไทย 2 แห่งที่มีการเตรียมความพร้อม และพัฒนา DeFi ของตนเองอย่างจริงจัง รวมทั้งเกิดผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างธุรกิจที่เป็นนอนแบงก์ ซึ่งเข้ามาออกโทเคนดิจิทัลเสนอขายให้แก่ผู้ใช้บริการ และผู้ที่ต้องการปล่อยกู้ที่เข้ามาใช้แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการสินเชื่อ" ความเสี่ยงและการกำกับดูแล DeFi น.ส.วิไลพร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันหน่วยงานกำกับของหลายประเทศทั่วโลกยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหาแนวทางในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบนิเวศของ DeFi และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับขนาดของอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ในส่วนของประเทศไทย สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้บริการของผู้จัดการเงินทุน และที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลเกี่ยวกับ DeFi เพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้บริโภคจากการถูกหลอกลวง หรือการโจรกรรมทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ล่าสุด ก.ล.ต. ยังได้ออกเกณฑ์กำกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อไม่ให้สนับสนุนหรือส่งเสริมการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าหรือบริการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 "DeFi ยังถือเป็นเรื่องใหม่และยังต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ นั่นแปลว่า ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการจะต้องมีความระมัดระวังและต้องศึกษาอย่างละเอียดถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความโปร่งใส และความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม เพื่อป้องกันการแฮกและการขโมยข้อมูล รวมถึงต้องระวังเรื่องความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัลและอื่นๆ โดยไม่ลืมที่จะติดตามความเคลื่อนไหวของหน่วยงานกำกับดูแลว่าจะมีการออกมาตรการหรือกฎระเบียบใหม่ๆ อะไรบ้างที่อาจส่งผลกระทบต่อ DeFi ในอนาคต" น.ส.วิไลพร กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น