เอเจนซี – เจ้าของ “แมวโคลนนิง” ตัวแรกของโลก อันกลายมาเป็นธุรกิจรับโคลนนิงสัตว์เลี้ยงต้องมีอันประกาศปิดกิจการลง หลังจากยอดจองต่ำเกินกว่าจะทำกำไร แม้ว่าจะลดราคาลงมากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม อีกทั้งสัตว์เลี้ยงทีได้ก็ตายก่อนเวลาอันควร
เจเนติกเซฟวิงส์ แอนด์โคลน (Genetic Savings and Clone) ตัดสินใจปิดกิจการโคลนนิงน้องเหมียวสุดเลิฟ หลังยอดใช้บริการไม่มากอย่างที่คาดจนส่งผลต่อกำไรที่ได้ต่ำเกินไป โดยทางบริษัทได้ส่งต่อข้อมูลทางพันธุกรรมของลูกค้าให้แก่เวียเจน (ViaGen) เพื่อเก็บไว้ แต่ยังไม่มีแผนนำไปโคลนเป็นสัตว์ใดๆ
แม้ว่ากิจการโคลนิงสัตว์เลี้ยงแสนรักขายกลับคืนให้แก่เจ้าของผู้สูญเสียจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่อเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และผู้ที่ไม่อยากสูญเสียคงยิ้มร่า แต่ยอดใช้บริการกลับไม่มากอย่างที่คิด ทำให้ เวย์น พาเซลเล (Wayne Pacelle) ประธานฮิวแมนโซไซตี (The Humane Society of the United States) ซึ่งออกแคมเปญต่อต้านกิจการนี้ ออกมาแสดงความยินดี
พาเซลเลยังเผยว่า ไม่ได้ประหลาดใจต่อยอดจองที่แทบจะไม่มีเลย เพราะธุรกิจดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่ควรนำเงินเป็นล้านๆ ไปพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาสังคม และการทำแบบนี้อาจนำไปสู่ปริมาณประชาการสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นจนล้น รวมถึงการนำสัตว์เลี้ยงไปปล่อยไว้เป็นภาระคนอื่นตามมา
ทั้งนี้ พาเซลเลแจกแจงอีกว่า สัตว์เลี้ยงโคลนนิงแต่ละตัวก็ล้วนตายลงด้วยก่อนอายุอันควร หรือไม่ก็เจ็บปวดจากอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งหลังจากเปิดตัวแมวน้อยโคลนนิงตัวแรกให้แก่เจ้าของผู้รักแมวของตัวที่ตายลงเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยราคา 50,000 เหรียญสหรัฐฯ แค่เพียงปีเดียวราคาโคลนนิงก็ตกลงเหลือครั้งละ 20,000 เหรียญเพื่อล่อใจลูกค้า
บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 โดยมหาเศรษฐีจอห์น สเปอร์ลิง (John Sperling) ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากการก่อกำเนิดของ “ดอลลี” แกะโคลนนิงตัวแรกของโลกเมื่อปี 2539 ทำเขาหาทางพยายามที่จะโคลนนิง “มิสซี” สุนัขตัวโปรด จนก่อตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้นมา และประสบความสำเร็จในการโคลนนิงแมวตัวแรกของโลกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2545
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังฉงนใจกับความพยายามของบริษัท เพราะอย่างกรณีโคลนนิงแกะดอลลี่ต้องใช้ความพยายามมากกว่า 270 ครั้ง ดังนั้นจึงมีข้อถกเถียงเรื่องจริยธรรมตามมามากมาย