xs
xsm
sm
md
lg

ซึ้งในรสพระทำ/ไก่ อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

ซึ้งในรสพระทำ/ไก่ อำนาจ
ช่วงนี้พระสงฆ์องค์เจ้าบ้านเราค่อนข้างจะเป็นข่าวกันบ่อยทีเดียวครับ

แถมส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปในด้านลบแทบจะทั้งนั้น ทั้งพระติดยา พระขี้เอา พระขี้เมา พระเกย์-เณรตุ๊ด ฯ

ที่ระบือลือลั่นจริงๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นในรายของพระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ที่ตอนนี้มีสถานภาพเป็น "สมี" ไปเรียบร้อยแล้วหลังคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ได้มีมติให้เจ้าตัวต้องอาบัติปาราชิกพ้นจากความเป็นพระ เนื่องจากเสพเมถุนและกระทำผิดคดีอาญา ทั้งฟอกเงิน-ฉ้อโกงประชาชน

เป็นสมีก็หมายความว่าเจ้าตัวนั้นไม่สามารถกลับมาบวชได้อีกครั้ง

ในทางสงฆ์ดูเหมือนกระบวนความต่างๆ จะเสร็จสิ้นเกือบสมบูรณ์แล้วครับ ส่วนทางฆราวาสก็ต้องตามดูกันต่อไปว่าตัวบทกฏหมายตลอดจนเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองที่เกี่ยวข้องจะสามารถนำอีกฝ่ายกลับมาเข้าสู่กระบวนการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การลงโทษตามข้อกล่าวหาได้หรือไม่?

เพราะอดีตที่ผ่านมาทำให้เราเห็นแล้วครับว่าจะห่มเหลือง ห่มเขียว ใส่สูท ผูกไทด์ ฯ ลองมีเงินเสียอย่าง ต่อให้ความผิด ความชั่ว ความเลวปรากฏออกมาชัดเจนขนาดไหน นอกจากจะไม่ถูกทำโทษตามที่ควรจะเป็นแล้ว บางคนยังมีคนไปให้ความเคารพนับถือกราบไหว้อีกต่างหาก

ดูอย่างข่าวคลิปเสียงบทสนทนาจากแดนไกลนี่ก็ได้...คือประมาณว่าถ้าเลียลูกตะโปดกันได้คงได้เลียกันไปแล้ว

ล่าสุดในแวดวงผ้าเหลืองก็มีประเด็นให้พูดถึงอีกครั้ง นั่นก็คือในกรณีของ "พระแจ๊ส" หรือ "พระมหาวิริโยภิกขุ" ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นข่าวฮือฮามาแล้วในวันที่ท่านตัดสินใจบวช เพราะในอดีตทางโลกกับชื่อเสียงเรียงนาม "แจ๊ส สรวีย์ นัดที" นั้นเจ้าตัวเคยเป็นสาวประเภทสอง แถมยังมีดีกรีเป็นถึงแชมป์การประกวดสาวประเภทสองเวทีดังอย่าง "มิสทิฟฟานี" ในปี 2009 (พ.ศ.2552) มาก่อนนั่นเอง

ที่ว่าเป็นประเด็นขึ้นมาก็เพราะพระท่านได้รับกิจนิมนต์ให้ไปเทศน์ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมันคงจะไม่มีอะไรหรอกครับถ้าสถานที่แห่งนั้นไม่ใช่ผับเกย์!

งานนี้ก็เลยกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ทั้งคนที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย

ว่ากันในหลักของพระพุทธศาสนา แม้สถานที่ในลักษณะที่ว่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ "อโคจร" หรือสถานที่พระไม่ควรไป แต่กระนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ท่านก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ไปเสียเลยนะครับ

เพียงแต่ถ้าจะไปก็ต้องไปเพราะเรื่องงาน หรือให้มีเพื่อนพระภิกษุด้วยกันไปเป็นเพื่อน และไปในเรื่องบุญเรื่องกุศลจริงๆ

สรุปก็คือให้ดูเรื่องเจตนาและความเหมาะสมเป็นหลัก

ประมาณว่าถ้าตั้งใจจะเข้าไปเพื่อเทศนาเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนจริงๆ แต่ไปเทศน์กันตอนดึกๆ เอาสปอร์ตไลท์ส่อง เปิดไฟเธค วับๆ แวมๆ ประกอบการเทศนา อันนี้ต่อให้เจตนาดีแต่มันก็คงจะดูกระไรอยู่

เช่นเดียวกับตัวคนนิมนต์เอง แม้จะมีเจตนาดีไม่ได้หวังจะมาเอาหน้าทำให้เป็นกระแสข่าว แต่ถ้ารู้ว่าเรื่องไหนอะไรที่มันน่าจะสร้างความลำบากใจให้กับการประกอบกิจของสงฆ์ท่าน ละไว้สักหน่อยก็ดีนะครับ

หรือไม่ก็ไปทำบุญกับท่านที่วัดมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไรมากมายมั้งครับ

ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เอาฆราวาสสะดวกเข้าว่า ถึงขนาดยกวัด-ยกพระมาไว้กันกลางห้างฯ ก็มี

ต้องยอมรับครับว่าเดี๋ยวนี้คนเข้าวัดกันน้อยมาก แถมส่วนใหญ่ที่เข้าไปก็ไม่ได้ไปตั้งใจไหว้พระ-ฟังธรรมกันจริงๆ หากแต่ไปแสวงหาโชค หาลาภ รวมถึงจับจ่ายใช้สอยเพื่อจับจองหาความสบายในชาติหน้ากันซะมากกว่า

ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้นอกจากจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจในหลักที่แท้จริงแล้ว ข่าวคราวในด้านลบของพระสงฆ์ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยเช่นกัน

อาทิตย์ก่อนกลับไปที่บ้านนอก มีลุงคนหนึ่งพูดถึงข่าวเรื่องพระที่โกงเงินบริจาคเอามาปรนเปรอความสุขสบายให้กับตนเองแถมยังใจดีเผื่อแผ่บาปไปยังโยมพ่อโยมแม่ตลอดจนญาติโกโหติกาออกมาน่าสนใจทีเดียวว่า..."เดี๋ยวนี้ไหว้พระพุทธสบายใจกว่า ไม่มีหลอกลวง ไม่มีโกหก ไม่มีติฉินนินทา ถวายข้าวให้ท่านท่านยังให้เสสังฯ เอากลับมากินได้อีกต่างหาก..."

ฟังแล้วเห็นภาพชัดเจนเลยละครับ

ผมเองก็นับถือศาสนาพุทธครับ แต่หลายครั้งก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่านับถือเพราะอะไร? นับถือแต่ปากหรือเปล่า? นับถือตามคนอื่นเหรือเปล่า?

ยิ่งตอนวัยรุ่นเห็นงานบวชแถวๆ บ้านนอกเวลาจัดงานทีต้องมีเครื่องไฟ มีงานเลี้ยงโต๊ะจีน มีดนตรีมาแสดง บางคนพ่อ-แม่ไม่มีเงิน หรือมีเงินไม่พอก็ต้องไปกู้เขามา ลูกชายบวชท่องอะไรยังไม่ทันจะได้สึกออกมาแล้วพ่อ-แม่ยังหาเงินมาใช้หนี้เขาไม่หมดเลยก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกผู้ชายไทยบวชกันทำไม? บวชแล้วได้อะไรหรือ?

บางคนบวชตามประเพณี, บวงคนบวชเพราะต้องการอาศัยผ้าเหลืองทำมาหากิน ดูดวง ใบ้หวยมีให้เห็นก็เยอะแยะไป

พร้อมกับตั้งใจไว้ว่าถ้าตนเองอายุครบบวชก็จะโกนหัวเข้าบวชแบบเงียบๆ ไม่ต้องบอกแขกจัดงานเลี้ยงอะไรให้วุ่นวายเปลืองเงินทองที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว

"ไอ้ขวางโลก เอาน่า แม่มีพอ ไม่ได้ไปกู้เขามาจัดใหญ่โตงานช้างงานม้าซะเมื่อไหร่..." เป็นคำพูดที่แม่บอกออกมาหลังจากที่ผมนำเสนอความคิดออกไป

สุดท้ายผมก็ต้องเข้าพิธีบวชตามประเพณี ด้วยรูปแบบการจัดงานที่ตนเองมองว่าไร้สาระ ฟุ่มเฟือยอย่างใช่เหตุ

แต่พอเห็นสีหน้าและความรู้สึกปลาบปลื้มดีใจของแม่ ได้เห็นญาติๆ ที่นานๆ ทีจะได้มาพบปะเจอะเจอกัน ได้เห็นคนในหมู่บ้านต่างมาด้วยน้ำใจช่วยกันทำกับข้าวกับปลา-ขนมคาวหวาน ได้เห็นคนแก่ๆ มากราบไหว้ทำบุญใส่ย่ามด้วยเงินทองที่พอจะหาได้ วันนั้นพระใหม่อย่างผมก็พอที่จะเข้าใจแล้วครับว่าบวชคราวนั้นได้อะไร...

เพราะเมื่ออยู่ในผ้าเหลืองก็เป็นใจของเราเองนี่แหละครับที่รู้ดีว่าเรา "คิด" หรือว่าเรา "ยึดติด" กับเครื่องแบบทางธรรมที่ว่านี้ไปในทิศทางไหน ด้วยความรู้สึกอย่างไร?
กำลังโหลดความคิดเห็น