นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีปัญหาในลักษณะวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลถึงวิกฤตด้านราคาพลังงานและวิกฤตอาหารโลก อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก ทั้งเป็นแรงกดดันสำคัญให้ธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึง ร้อยละ 3.80 เป็นอย่างน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาสภาพคล่องจำนวนมากที่เคยอัดฉีดเข้ามาก่อนหน้านี้ ด้วยการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ จึงส่งผลต่อความผันผวนของราคาสินทรัพย์และตลาดการเงินโลก
ขณะเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในตลาดที่เพิ่งเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะประเทศที่มีภาระหนี้ต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังที่เริ่มเห็นสถานการณ์ในศรีลังกา สปป.ลาว และเมียนมาร์ จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจติดลบ หรือ Recession ได้ในระยะ 1-2 ปีนี้
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยนั้น แม้สถานการณ์จะดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ภาคการส่งออกเริ่มเติบโตชะลอลงจากกำลังซื้อของประเทศปลายทาง และความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่กระทบต่อภาคการลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยน จึงประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งละ 0.25% ในการประชุม กนง. ปี 2565 นี้ ที่ยังเหลืออีก 3 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทยอยปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.50% ไปเป็น 1.25% ในช่วงปลายปีนี้
ขณะเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในตลาดที่เพิ่งเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะประเทศที่มีภาระหนี้ต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังที่เริ่มเห็นสถานการณ์ในศรีลังกา สปป.ลาว และเมียนมาร์ จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจติดลบ หรือ Recession ได้ในระยะ 1-2 ปีนี้
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยนั้น แม้สถานการณ์จะดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ภาคการส่งออกเริ่มเติบโตชะลอลงจากกำลังซื้อของประเทศปลายทาง และความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่กระทบต่อภาคการลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยน จึงประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งละ 0.25% ในการประชุม กนง. ปี 2565 นี้ ที่ยังเหลืออีก 3 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทยอยปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.50% ไปเป็น 1.25% ในช่วงปลายปีนี้