นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาคดีคอร์รัปชั่นโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ระบุว่า ปัญหาการเมืองไทยแก้ไม่ยาก หากทุกพรรคมีความเชื่อมั่นในเสียงของประชาชน
การเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศอุตส่าห์ตั้งตารอมาเกือบจะครบ 5 ปี ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน
พรรคที่ประกาศตัวสืบทอดอำนาจลุงฯ ได้ ส.ส. รวมกันเพียง 120 กว่าคน แต่ตั้งธงไว้ว่า จะต้องเป็นรัฐบาล และลุงตู่ต้องอยู่ต่อให้ได้
ส่วนพรรคที่ประกาศตัวไม่สนับสนุนลุงตู่ โดนดูดก็แล้ว โดนขู่ก็แล้ว โดนเขียนรัฐธรรมนูญให้ยิ่งได้ ส.ส. เขตมากเท่าไหร่ พรรคยิ่งเล็กลงเท่านั้น โดนบัตรเขย่ง โดนนับคะแนนแจกพรรคเล็ก โดนสารพัดจะโดน ยังได้ส.ส.ถึง 245 คน มากกว่าพรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจให้ลุงเกิน 2 เท่าตัว
ตัวแปรจึงมาตกอยู่กับพรรคที่อยู่ตรงกลาง ที่มี ส.ส. รวมกันร้อยคนเศษ หากจะไปรวมกับขั้วสืบทอดอำนาจให้ลุง ก็จะได้รัฐบาลปริ่มน้ำที่ไม่มีเสถียรภาพ และต้องพึ่งความหวังจากน้ำบ่อหน้า จากการยุบพรรคอีกฝ่าย เพื่อซื้อตัว ส.ส.ที่กระจัดกระจายมาช่วยเสริมทัพ และต้องหาซื้องูเห่ามาเลี้ยง ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนให้การเมืองไทยเน่าเหม็นย้อนยุคไปอีกหลายสิบปี
หากตัวแปร 100 กว่าเสียงนี้ เข้าร่วมกับขั้วประชาธิปไตย ที่ไม่สนับสนุนลุง จะทำให้ได้รัฐบาลร่วม 350 เสียง ซึ่งในภาวะปกติถือว่า เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงมาก
ประชาธิปไตยไปต่อ ได้อย่างสบาย และการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะลงตัวไปนานแล้ว แต่ในยุคที่ลุงเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยอาจไปได้ยากหน่อย
ที่สำคัญพรรคตัวแปรนี้มี 2 พรรคใหญ่ ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้ให้สัญญากับพี่น้องประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้ง ดังนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัญญาเอาไว้ชัดเจนว่า
1.พรรคจะไม่สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ (เน้นย้ำชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายก ไม่ได้ใช้สรรพนามอื่น)
2.พรรคจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่สืบทอดอำนาจ (หมายถึงการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์อีกแหละ)
3.แถมยังปิดประตูการบิดพลิ้วในอนาคต ด้วยการยืนยันว่า 2 ข้อข้างต้นคือ อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และย้ำว่าไม่มีพรรคการเมืองใด ลงมติสวนทางอุดมการณ์ของพรรค
ซึ่งถ้าเรานับเสียง ส.ส.ของทุกพรรคที่ประกาศว่า ไม่เอาลุง รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย จะมี ส.ส.รวมกันถึง 297 เสียง ชนะพรรคที่จะเอาลุงอย่างขาดลอยทีเดียว
ส่วนพรรคภูมิใจไทยสัญญาไว้หนักแน่นว่า พรรคจะร่วมรัฐบาลกับขั้วการเมืองที่ได้ ส.ส.ในสภาเยอะที่สุด เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงสุด ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และจะไม่ยอมให้ ส.ว. 250 เสียง มากำหนดอนาคตประเทศ สวนทางจากฉันทานุมัติของประชาชน