xs
xsm
sm
md
lg

“โบว์”กางสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์“อ.ชูศักดิ์”ตรงกับ“อ.สมชัย”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ แกนนำกลุ่มคน อยากเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊ก“Bow Nuttaa Mahattana“ ระบุว่า วันก่อนเรียนจาก อ.สมชัยกันแล้ว วันนี้ฟังจาก อ.ชูศักดิ์บ้าง ก็ตรงกัน เพราะสูตรการคำนวณตามรัฐธรรมนูญมีสูตรเดียว

วิธีการคำนวณที่พรรคเพื่อไทยทำหนังสือถึง กกต. เมื่อวานนั้น มีรายละเอียดชัดเจนแล้ว เป็นวิธีการคำนวณตามมาตรา 128 ตั้งแต่ (1),(2),(3),(4),(7) แล้วกลับมาใช้ (4) อีกครั้งเพื่อการปัดเศษขั้นตอนสุดท้าย

ชูศักดิ์ชี้ กกต.ตั้งโจทก์ผิด ไปยึดตามสำนักงานและ กรธ.เป็นหลัก ถ้ายึดตาม ก.ม.ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับพิจารณาหรือไม่

ตามที่สำนักงาน กกต.ได้เผยแพร่ข่าวว่า กกต.ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน ให้เสนอเรื่องวิธีการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย นั้น เห็นว่ามีข้อที่ต้องพิจารณาสองประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก เหตุผลที่ กกต.อ้างเป็นเหตุผลที่ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร เมื่อพิจารณาข้ออ้างของ กกต.ที่ว่ามีพรรคหลายพรรคที่มีจำนวน ส.ส.พึงมีได้ตำ่กว่าหนึ่งคน แต่เมื่อคำนวณตามมาตรา 128(5) แล้วทำให้พรรคเหล่านั้นได้ส.ส.1 คน จึงอาจทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 91(2)และ(4)ที่ห้ามจัดสรรที่มีผลให้พรรคการเมืองได้ ส.ส.มากกว่าจำนวนที่พึงมี นั้น ประเด็นนี้เห็นว่าหากอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 อย่างเป็นขั้นตอนจะไม่มีข้อความส่วนใดขัดหรือแย้งกันเลย แต่ที่กกต.เห็นว่ามีปัญหานั้นเป็น เพราะ กกต.ไม่ได้ยึดรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งเป็นหลักแต่ไปเอาตามวิธีการที่สำนักงาน กกต.เสนอ ซึ่งอ้างว่าเป็นไปตามความเห็นของ กรธ.เมื่อ กกต.ตั้งโจทก์แบบนี้ การคำนวณจึงผิดตั้งแต่ต้น แล้วก็ไปโทษว่ากฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ตรงนี้อธิบายได้ง่ายๆ ว่า เมื่อกฎหมายให้ยึดจำนวนคะแนนต่อ สส.หนึ่งคนเป็นหลักแล้วนำไปหารคะแนนรวมของแต่ละพรรคเพื่อหาจำนวนสส.พึงมีของพรรคนั้น ตามมาตรา 128(2) แล้วเอาจำนวน ส.ส.พึงมีนั้นไปลบ ส.ส.เขตของพรรคนั้น ผลลัพธ์คือจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคนั้นจะได้รับเบื้องต้น ตามมาตรา 128(3) เมื่อถึงตรงนี้ ต้องเข้าใจว่า หากพรรคใดมีคะแนนตำ่กว่าคะแนนต่อ ส.ส.หนึ่งคน(ต่ำกว่า 71,065 คะแนน) พรรคนั้นก็ไม่มีจำนวน ส.ส.พึงมีมาตั้งแต่ต้น จึงถูกตัดตอนตั้งแต่ม.128(2)แล้ว หลังจากนั้นการคำนวณต่อไปจะคิดเฉพาะพรรคที่มีจำนวน ส.ส.พึงมีเท่านั้น โดยม.128(4)ให้จัดสรรสส.บัญชีรายชื่อตามผลลัพธ์ตาม ม.128(3) หมายถึงจัดสรรให้พรรคที่มีสิทธิจะได้รับจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อเบื้องต้น แต่เมื่อพรรคที่มีคะแนนต่ำกว่า 71,065 คะแนน ซึ่งไม่มี ส.ส.พึงมีและไม่ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้รับเบื้องต้น ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อตามม.128(4)

ทั้งนี้ ในการจัดสรรนั้นถ้าพรรคใดมีส.ส.เขตเท่ากับหรือมากกว่า ส.ส.ที่พึงมีก็จะไม่ได้รับจัดสรรสส.บัญชีรายชื่ออีกคือ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นศูนย์ แล้วเอา ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้กับพรรคที่มีส.ส.เขตตำ่กว่า ส.ส.ที่พรรคนั้นพึงมี เมื่อพรรคเหล่านั้นไม่มีทั้ง ส.ส.เขต และส.ส.พึงมี ก็ไม่มีสิทธิได้รับจัดสรร โดยไม่ต้องไปพิจารณาว่าจะทำให้พรรคนั้นมีส.ส.เกินจำนวนที่พึงมีหรือไม่ เพราะเขาไม่มี ส.ส.พึงมีมาแต่แรก ส่วนการจัดสรรตามม.128(7)กรณีจัดสรรแล้วมี ส.ส.บัญชีรายชื่อเกิน 150 คนกฎหมายให้คำนวณปรับ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ตามวิธีการที่กำหนดและในกรณีนี้กฎหมายก็เขียนชัดว่าเมื่อคำนวณตาม(5) แล้วมี ส.ส.เกิน ให้ทำอย่างไร เช่นกันพรรคที่คะแนนต่ำกว่า71,065 คะแนนไม่อยู่ในข่ายได้รับจัดสรรตาม(5)และไม่มีจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้รับจึงไม่อาจนำมาคำนวณตาม(7)ได้เช่นกัน ดังนั้นหากตีความกฎหมายตรงไปตรงมาจึงไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน และเมื่อคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อให้กับพรรคทีมีส.ส.พึงมีและจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้รับตาม128(7)แล้วผลคำนวณก็ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อครบ 150 คน ไม่ได้มีปัญหาเหมือนที่ กกต.อ้างเลย

ประเด็นที่สอง เรื่องที่ กกต.จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น เห็นว่าปัญหาที่ กกต.อ้างดูเหมือนกับการจะขอคำอธิบายข้อกฎหมายกับศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ กกต.มีอำนาจในส่วนนี้อยู่แล้วแต่ กกต.ยังไม่ได้ใช้อำนาจของตนเอง หากใช้อำนาจตามที่มีอยู่และพิจารณาไปตามก.ม.ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวล โดยส่วนตัวจึงเห็นว่าอาจยังไม่เข้าเงื่อนไขที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ เพราะที่ผ่านมาเข้าใจว่าศาลเคยวางหลักว่าไม่มีหน้าที่มาอธิบายรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูจากคำแถลงดูเหมือน กกต.จะตั้งประเด็น ก.ม.ขัดรัฐธรรมนูญด้วยแต่ก็ไม่เห็นประเด็นว่ามาตราใหนขัดรัฐธรรมนูญ ต้องดูคำร้องอย่างละเอียดกันอีกที

นอกจากนี้ เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรที่กกต.จะปล่อยให้ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ กกต.เป็นผู้ใช้ ก.ม.เป็นผู้รักษาการตาม ก.ม.จึงมีหน้าที่โดยตรงในการวินิจฉัยตีความ ก.ม.และการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ไม่ควรชี้นำโดยอ้างสูตรคำนวณที่มีการเสนอต่อ กกต.แต่ควรอ้างวิธีการคำนวณตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นสำคัญ