พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในการเปิดสัมมนา "ประเทศไทยปีแห่งการลงทุน มีอะไรใหม่" (Thailand Investment year : What’s New?) ที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยระบุว่า เชื่อว่าช่วงเวลา 4-5 ปีที่รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกอนาคตว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไรต่อไป หากคนไทยทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้ว อนาคตของประเทศชาติจะต้องสดใสอย่างแน่นอน ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ซึ่งทุกคนคงจะทราบดีว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเดิมๆ ที่เคยนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าในอดีตอาจไม่สามารถทำให้เราแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีบางอย่างกำลังให้ธุรกิจบางประเภทต้องจบลง เช่น การค้าขายออนไลน์ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะไม่ตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ เพราะเราต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ที่จะต้องแย่งชิงด้านการลงทุนในทุกมิติ ดังนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องเดินหน้าปฏิรูป เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศและสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาชนและภาคธุรกิจ
ส่วนความคืบหน้าการขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศของรัฐบาล ภายใต้ยุทธศาสตร์ 20 ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นรูปธรรมสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ แต่เพื่อให้สิ่งต่างๆ ที่ได้ทำในวันนี้ ดำเนินการต่อไปในวันข้างหน้าได้ ซึ่งสิ่งที่ทำในวันนี้ไม่ได้เกิดผลอะไรกับตนเองหรือทหาร แต่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนและประเทศชาติ รายได้ต่างๆ ก็จะนำมาดูแลพี่น้องประชาชนจึงขอให้เข้าใจยุทธศาสตร์ชาติด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ จึงอยากฝากนักลงทุนให้ช่วยกัน เพราะการลงทุนที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สูงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เกิดผลต้องใช้ต้นทุนสูง ขณะเดียวกัน การพัฒนาปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะช่วยในการพัฒนาความเข้มแข็งของประเทศ จึงมุ่งพัฒนาแนวคิด 3 ประการ
ประการแรก คือ ต่อยอดจากอดีต (อัตลักษณ์ ประเพณี วิถีชีวิต) เพื่อนำมาประยุกต์ผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สอดรับกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคม ประการที่สอง คือ ปรับปัจจุบัน ทั้งโครงข่ายคมนาคมขนส่ง จัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ส่วนประการที่สาม คือ การสร้างคุณค่าใหม่แห่งอนาคต ด้วยการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ และพัฒนาคนรุ่นใหม่ แต่ต้องไม่ลืมวิถีชีวิตของคนรุ่นเก่า ปรับประเด็นธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในปัจจุบันและต้องได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ขอให้คำนึงว่าช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน แล้วทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ การแก้ปัญหาทุกอย่างที่ผ่านมา 4-5 ปีไม่ใช่เรื่องง่ายรัฐบาลต้องออกระเบียบและกฎหมายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนไปได้